‘อนุสรณ์ ธรรมใจ’ ชี้ยุติชุมนุมเป็นการตัดสินใจถูกต้อง ลดการรัฐประหาร แนะ รบ.เปิดเวทีเจรจาแกนนำม็อบ

เมื่อวันที่ 20 กันยายน นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ และอดีตกรรมการและผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การยุติการชุมนุมเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงและการรัฐประหาร เป็นการแสดงให้ความเห็นอย่างชัดเจนว่า แกนนำของ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีอย่างเคร่งครัด ไม่เคลื่อนไหวสุ่มเสี่ยง และต้องการให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงใจ ลูกหลานของเราได้ต่อสู้เพื่อประเทศนี้ เพื่ออนาคตของพวกเขาเอง และต่อสู้ให้กับบรรดาผู้สูงวัยทั้งหลาย เราควรจะสำนึกในความเสียสละ กล้าหาญของเหล่าเยาวชนผู้ที่จะเติบโตเป็นหลักให้กับบ้านเมืองในอนาคต กระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างมียุทธศาสตร์ และยุทธวิธีที่ดีจะทำให้เส้นทางสู่ประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง สงบสันติ มั่นคง ยั่งยืน และไม่ย้อนกลับไปสู่ระบอบอำนาจนิยมซ้ำแล้วซ้ำอีก

นายอนุสรณ์กล่าวว่า ผู้มีอำนาจรัฐได้พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะและความรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี นับเป็นพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นของผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา บางประเทศประสบความสำเร็จ บางประเทศไม่ราบรื่น บางประเทศล้มเหลว สถานการณ์การชุมนุมที่เริ่มขึ้นในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2563 ภายใต้คำขวัญ “19 กันยา ทวงคืนอำนาจราษฎร” จะเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อและจุดเปลี่ยนแปลงของอนาคตของประเทศไทย ทางสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้เผยแพร่แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ไปเมื่อวานนี้ เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนยึดมั่นแนวทางสันติวิธี ยอมรับความเห็นอันแตกต่างหลากหลาย เปิดโอกาสให้เสรีภาพและเจตจำนงอันแท้จริงของประชาชนได้ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป ความเป็นธรรม ประชาธิปไตยและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ทางสถาบันปรีดี พนมยงค์ จึงขอแถลงจุดยืนต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่จะเกิดขึ้น ดังนี้

1.ขอให้ทุกฝ่ายเคารพเจตจำนง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนที่เรียกร้องให้สถาปนาระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอันเป็นรากฐานสำคัญของสังคม

2.สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติเป็นสิทธิโดยชอบตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ในการให้หลักประกัน และคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้ชุมนุม รวมถึงจะต้องหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า การกระทำอันเป็นการยั่วยุ หรือการใช้มาตรการรุนแรงในทุกรูปแบบ

Advertisement

3.สถาบันการศึกษาควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก

4.ขอประณามการกระทำของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดที่ประสงค์จะใช้การยั่วยุหรือใช้ความรุนแรง และเรียกร้องทุกฝ่ายให้ร่วมกันต่อต้านการก่อรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจรัฐ ซึ่งจะมีผลเหนี่ยวรั้งสังคมไทยให้ถอยหลังลงอีก ไม่ว่าจะโดยการนําของฝ่ายใดก็ตาม

5.ขอให้ทุกฝ่ายพึงระลึกว่า ระบอบประชาธิปไตยจะมั่งคงอยู่ได้ต้องประกอบด้วยกฎหมายที่สนองตอบต่อเจตนารมณ์ของปวงชนชาวไทย พร้อมด้วยศีลธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต

นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า ทางสถาบันปรีดี พนมยงค์ เชื่อว่าการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบที่มิใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตยจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันหาทางออกอย่างสันติวิธี ทั้งนี้ โดยผู้มีอำนาจจะต้องลดละการเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน และรับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน อันนับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการแก้ไขปัญหาในระบอบการเมืองที่เป็นอยู่

เราขอคัดค้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ และขอต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ อันเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตยและกฎหมายอันชอบธรรม ทางคณะกรรมการสถาบันจะจัดตั้ง ‘คณะทำงานเพื่อช่วยเหลือทางคดีแก่ผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย’ และจะออกแถลงการณ์เป็นระยะๆ  เพื่อมีส่วนในการช่วยทำให้สถานการณ์ไม่ถลำลึกสู่วิกฤตการณ์รุนแรง และนำไปสู่การเจรจาหารือ สานเสวนาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศและประชาชนได้” นายอนุสรณ์กล่าว

ขณะเดียวกัน นายอนุสรณ์ได้กล่าวถึง 14 ปีที่ผ่านมาว่า ยังมีการไล่ล่าผู้เห็นต่างด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งอุ้มหาย ยัดข้อหายัดคดี ใช้เครื่องมือทางกฎหมายกลั่นแกล้งด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งยุบเลิกหน่วยงานหลายหน่วยงานที่ได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพียงแต่เห็นว่าหน่วยงานเหล่านั้นจัดตั้งขึ้นมาด้วยรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามจัดตั้ง โดยไม่ใส่ใจว่าก่อให้เกิดต้นทุนและสร้างความเสียหายให้กับประเทศ

นายอนุสรณ์กล่าวว่า บทเรียนที่เราได้รับจากการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 เนื่องในโอกาสครบรอบ 14 ปีของการรัฐประหาร และนำมาสู่การรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2557 มีมากมาย และไม่ควรย้ำรอยความผิดผลาด และวิฤกตซ้ำซากอย่างในปัจจุบันและในอดีตอีก บทเรียนมีดังต่อไปนี้

บทเรียนข้อที่หนึ่ง ความเป็นเอกภาพและร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติ เราจึงฝ่าวิกฤตการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเมือง วิกฤตจากผลกระทบของโรคระบาด Covid-19 หรือ ปัญหาผลกระทบรุนแรงจากภัยธรรมชาติ จึงต้องเปิดให้มีการเจรจาหารือ สานเสวนาเพื่อหาทางออกร่วมกัน กลุ่มผู้นำรัฐบาล กลุ่มผู้นำรัฐสภา ควรเปิดเวทีเจรจากับแกนนำการชุมนุม หากรัฐบาลไม่สะดวกใจที่จะดำเนินการ ทางสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขออาสาเปิดเวทีเพื่อให้มีการปรึกษาหารือเพื่อหาทางออกให้บ้านเมือง ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่านี้

บทเรียนข้อที่สอง ความกล้าหาญและเสียสละของประชาชน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ การเสียสละของผู้นำและกลุ่มผู้นำสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ และผู้นำต้องลาออกหากการลาออกทำให้สถานการณ์วิกฤตการณ์ดีขึ้น

บทเรียนข้อที่สาม การยึดถือหลักการประชาธิปไตย หลักความเป็นธรรม และใช้กลไกรัฐสภาหาทางออกให้ประเทศมีความสำคัญ ผู้มีอำนาจรัฐทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจึงต้องเร่งรัดกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนแล้ว ควรคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ทำให้กระบวนการเข้าสู่อำนาจโปร่งใส ยุติธรรมและสะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

บทเรียนข้อที่สี่ ต้องลดเงื่อนไขหรือสภาวะเพื่อที่นำไปสู่ความขัดแย้งอันต้นทางของสงครามกลางเมือง และยึดในแนวทางสันติ ต้องไม่ให้เกิดความรุนแรงใดๆ หรือมีผู้สูญเสียชีวิต เพราะหากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นแล้วจะทำให้สถานการณ์มีความยุ่งยาก ลุกลามไปสู่ความรุนแรงเพิ่มขึ้นติดตามมา

บทเรียนข้อที่ห้า การมียุทธศาสตร์ กุศโลบาย กลยุทธ์ที่ดีและมุ่งผลประโยชน์สาธารณะของผู้นำและกลุ่มชนชั้นนำ จะทำให้ประเทศชาติมีทางออกที่ดีจากวิกฤตการณ์ต่างๆ บทบาทของชนชั้นนำ รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ ตั้งใจและมุ่งมั่นจริงใจในการวางรากฐานระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุขให้มั่นคง นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสันติสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน

บทเรียนข้อที่หก ขบวนการความเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อ ประชาชนตระหนักถึงปัญหาร่วมกัน และเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และไม่มีใครเอาชนะพลังของประชาชนผู้มุ่งมั่นได้ การผนึกกำลังกันของฝ่ายประชาชนและฝ่ายค้านจึงมีความสำคัญมากต่อการเปลี่ยนแปลง

บทเรียนข้อที่เจ็ด รัฐประหารสองครั้ง (2549, 2557) การฉีกรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ วิกฤตการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนทุกฝ่ายเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมในรอบ 14 ปี จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หากมีการก่อรัฐประหารขึ้นอีก การรัฐประหารครั้งนี้จะนำไปสู่เส้นทางหายนะของประเทศ และจะสร้างความแตกแยกมากยิ่งกว่า รัฐประหารสองครั้งก่อนหน้านี้ ผู้นำทหาร ผู้นำภาคธุรกิจ ต้องสนับสนุนประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข ต้องไม่สนับสนุนระบอบเผด็จการหรือระบอบสืบทอดอำนาจ หากผู้นำกองทัพ ผู้นำภาคธุรกิจ ไม่สนับสนุนประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่มีทางมั่นคงได้

บทเรียนข้อที่แปด ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการวางรากฐานประชาธิปไตยให้มั่นคง ปฏิรูปรัฐธรรมนูญและทำให้กระบวนการสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญจะต้องประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

“ความยุติธรรม ประโยชน์ส่วนรวม และศีลธรรมจักบังเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อประชาชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง โดยปราศจากความกลัวจากการคุกคามโดยอำนาจรัฐและการกลั่นแกล้งจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม” นายอนุสรณ์กล่าว

นายอนุสรณ์กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ยังคงมีความเสี่ยงที่จะถลำลึกสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงได้อยู่ แม้การชุมนุมในวันที่ 19 กันยายนจะจบลงโดยดีก็ตาม โครงสร้างอันไม่เป็นธรรมยังคงดำรงอยู่และเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งต่อไป ผู้รักชาติ รักประชาธิปไตย รักสันติ จึงต้องสามารถเอาชนะต่อขบวนการต่อต้านประชาธิปไตยและกระหายความรุนแรงให้ได้ ด้วยการรณรงค์ให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริงภายใต้ระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องเอาชนะวาทกรรม “ชังชาติ” ที่ใส่ร้ายป้ายสีให้ได้ เอาชนะด้วยความอดทน หมั่นชี้แจงด้วยเหตุผล ด้วยข้อเท็จจริง นำไปสู่การตื่นรู้ของประชาชนส่วนใหญ่ นำไปสู่การอยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายอย่างมีสันติสุข เสมอภาคเป็นธรรม

“ขอฝากถึงบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวผู้เป็นอนาคตของชาติว่า ให้ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้น เพื่อประชาธิปไตยและเพื่ออนาคตของทุกคน ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง รัดกุม เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีต่อระบอบประชาธิปไตย และผู้ที่จ้องหาโอกาสในการเข้าสู่อำนาจอันไม่เป็นไปตามวิถีทางแห่งกฎหมายและประชาธิปไตย อันหมายรวมถึงกลุ่มทหารที่จะฉวยโอกาสทำรัฐประหารด้วย

“น้องๆ นิสิตนักศึกษาต้องตระหนักและเตรียมรับมือกับการโต้กลับของเครือข่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย ด้วยความรู้เท่าทัน อดทน และยึดถือแนวทางสันติวิธีและหลักของเหตุผล ขณะเดียวกันต้องไม่หลงอยู่ในห้วงวังวนของมหาสมุทรแห่งความหลอกลวงและความหวาดกลัว จงมีความหวัง เอาความจริงและความกล้าหาญทางจริยธรรมเข้าสู้ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสันติธรรมไม่ใช่การต่อสู้วันเดียว อาทิตย์เดียว เดือนเดียว หรือปีเดียวจบ มันเป็นสงครามยืดเยื้อที่เราต้องต่อสู้กับพวกเผด็จการและพวกกระหายความรุนแรงและการกดขี่ การต่อสู้อาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิต อาจต้องสืบทอดให้ลูกหลาน อย่าหวาดกลัวในการแสดงจุดยืนและความเห็นที่ถูกต้องเพื่อพิทักษ์สันติธรรมและเสรีภาพ และเราต้องยอมเข้าสู่ความยากลำบากที่จำเป็น แต่เป็นความยากลำบากที่พิสูจน์การกระทำอันยิ่งใหญ่ เป็นอมตะ เช่นเดียวกับวีรชนทั้งหลายที่ได้สละชีวิต เลือดเนื้อ ความสุขสบาย เกียรติยศชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ เพื่อให้ประเทศนี้เป็นประเทศของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง” นายอนุสรณ์กล่าว

อ่านข่าว : สรุปไทม์ไลน์ ’19 กันยาทวงคืนอำนาราษฎร’ จาก มธ.ลงกลอนห้ามเข้า ถึงปักหมุด ถวายฎีกา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image