“แรมโบ้” ยัน การดำเนินคดี ม.112 ผู้ชุมนุมเป็นไปตามกม. ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร โต้ “โฆษกก้าวไกล” ยอมรับความจริงบ้าง กล้าทำ กล้ารับ
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่าการใช้ ม.112 ต่อ ผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นการใช้ในลักษณะเหวี่ยงแห ตีความกว้างขวางเกินตัวบทกฎหมาย และเป็นที่วิจารณ์ในแง่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมองว่าหากโฆษกพรรคก้าวไกล หรือผู้ชุมนุมยังสงสัยในกฎหมาย ม.112 ทางที่ดีควรเตือนไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้มีการปราศรัยกล่าวพาดพิงสถาบัน หรือควรยุติการชุมนุมไปเลยจะดีกว่า เพราะการชุมนุมไม่เป็นประโยชน์กับใคร อีกทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างมาก ประเทศเกิดความเสียหาย ขณะเดียวกันตอนนี้ประเทศอยู่ในช่วงที่จะต้องช่วยกันเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 แต่ผู้ชุมนุมยังอยากที่จะรวมตัวกัน
นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า การที่โฆษกพรรคก้าวไกลมองว่าการใช้ ม.112 เป็นที่วิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยขอให้ย้อนมองดูพฤติกรรมการชุมนุมของผู้ชุมนุมว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นด้วยหรือไม่ เพราะทำให้เดือดร้อน พูดจาหยาบคาย ด่าทอผู้อื่น และยังทำเรื่องเลวร้ายจาบจ้วงและหมิ่นสถาบันอย่างมาก
“หากกลุ่มผู้ชุมนุมกล้าที่จะทำแล้ว ก็ขอให้กล้ายอมรับกับความเป็นจริง ที่จะต้องถูกดำเนินคดี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจถือว่าปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเช่นกัน โฆษกพรรคก้าวไกลอย่าพูดเอาแต่ตัวเองหรือพวกพ้องที่เป็นแกนนำกลุ่มชุมนุมให้ดูดี ควรเอาความจริงมาพูดกัน อย่าทำให้ประชาชนเกิดความสับสน
ยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยสั่งการ หรือบังคับใช้กฎหมายกลั่นแกล้งคนอื่น ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และไม่ได้ทำเพื่อเบี่ยงประเด็นความล้มเหลวด้านต่างๆ รวมถึงกระแสเรียกร้องให้นายกฯลาออก เพราะนายกฯทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ และทำได้เป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งดีกว่ารัฐบาลอื่นเสียอีก และสิ่งสำคัญที่ผ่านมานายกฯไม่เคยทำผิดอะไร จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการอะไรเพื่อกลบกระแสการลาออกของตัวเอง
ประชาชนฝากบอกมาว่า พรรคก้าวไกล แต่ทำท่าจะไปไม่ไกล เพราะประชาชนรู้ว่า นักการเมืองที่สนับสนุนกลุ่มที่ทำผิด ม.112 คือใคร และใครที่ออกมาปกป้องคนทำผิด ม.112 นั่นแหละตัวดี ที่พยายามจะยุยงให้คนมาจาบจ้วงก้าวล่วงคิดล้มล้างสถาบัน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เป็นการกระทำผิดกฎหมายชัดเจน ก็ยังจะยุยงสนับสนุนให้ทำผิด ม.112 พรรคการเมืองหรือนักการเมืองเหล่านั้นสมควรที่จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ จับตาดูว่า สมคบคิดหรือให้การสนับสนุนด้วยหรือเปล่า”