“สมพงษ์” เปิดซักฟอก ซัดรบ.ปรสิต กัดกร่อนอนาคตชาติ กลืนกินความฝันประชาชน

“ไพบูลย์-ปรีณา” แท็กทีมประท้วง ผู้นำฝ่ายค้าน ชี้ พาดพิงสถาบัน “ด้าน “ชวน” การันตียังไม่นอกญัตติ “สมพงษ์” อัด “บิ๊กตู่” เป็น “รัฐบาลปรสิต” กัดกร่อนอนาคตของประเทศกลืนกิน ความฝันปชช. ทำประเทศทุกข์ยากแสนเข็ญรอบ 8 ทศวรรษ

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ ประชุมใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถกเถียงถึงเนื้อหาในญัตติ กระทั่งนายชวน ตัดบทเข้าสู่วาระการประชุมทันที

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

จากนั้น เวลา 10.45 น. ที่ประชุมได้เข้าสู่ญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยกล่าวถึงพฤติการณ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่อง ร้ายแรง ไร้ภาวะผู้นำ มีพฤติการณ์ทุจริต สร้างความร่ำรวย มั่งคั่งให้ตนเองและพวกพ้อง และมีการระบาดของโรคโควิด19 ทำให้เศรษฐกิจดิ่งเหว จนได้ชื่อว่า เป็นยุคการทุจริตเฟื่องฟู ไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง มุ่งสร้างความนิยมให้ตนเอง สร้างความแตกแยกในสังคม ทำลายผู้เห็นต่าง

ทำให้ นายไพบูลย์ ลุกขึ้นประท้วงทันที ว่า ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวถึงสถาบันฯ โดยไม่จำเป็น เป็นเรื่องที่จะทำให้สถาบัน ซึ่งทรงอยู่เหนือการเมือง ทรงเป็นกลางทางการเมือง ต้องระมัดระวังไม่ให้สถาบันฯต้องถูกนำไปเป็นคู่แข่งหรือฝักใฝทางการเมืองฝ่ายใดอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อสถาบัน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอภิปราย แต่นายชวนได้แย้งว่าผู้นำฝ่ายค้าน อ่านญัตติที่อนุมัติไว้ไม่มีตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว คำประท้วงไม่มีความผิดข้อบังคับใด

Advertisement

จากนั้น นายสมพงษ์ อภิปรายต่อว่า ไม่ยึดมั่นและศรัทธาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันกับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันมาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวการบริหารราชการของตนเอง แต่นายไพบูลย์ ยังลุกขึ้นประท้วง ว่าผู้นำฝ่ายค้านพูดถึงสถาบันฯ และไม่อยากให้ประธานฯรับรองว่าชอบด้วยกฎหมาย ทำให้นายชวน ยืนยันว่าอนุญาติให้ผู้นำฝ่ายค้านอ่านตามญัตติที่เสนอ ตนจับตาอยู่ว่าตกหล่นสักพยางค์หรือไม่ ก็ยังไม่ตกหล่น และไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้การประชุมวุ่นวายโดยสิ่งที่ไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นตนเห็นด้วย แต่กรณีตนพูดไปแล้วว่าญัตติอนุมัติไปแล้ว ผู้นำฝ่าค้านฯ ต้องอ่านตามนี้ ถ้าเกินสักคำ ตนคอยดูแลเอง

ต่อมา นายสมพงษ์ อภิปรายต่อว่า เป็นการทำลายความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างสถาบันฯกับประชาชน
แต่ถูกน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ประท้วงที่ผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายถึงสถาบันฯ ซึ่งผิดข้อบังคับการประชุมข้อที่ 69 ห้ามกล่าวถึงพระมหากษ้ตริย์ โดยไม่จำเป็น แต่ชวน ชี้แจงว่า ญัตติบรรจุไว้อย่างนั้น จึงจำเป็น

นายสมพงษ์ อภิปรายต่อว่า นำสถาบันมาเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันฯ มาเป็นเกราะปิดบังข้อผิดพลาด ล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง ละเมิดหลักนิติรัฐ นิติธรรม และสิทธิมนุษยชน ทำลายระบอบคุณธรรม ในระบอบราชการ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม การบริหารราชการแผ่นดินของพล.อ.ประยุทธ์ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ ทั้งระบบเศรษฐกิจสังคมและกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง

Advertisement

จากนั้น นายสมพงษ์ ได้อ่านคำกล่าวหารัฐมนตรีครบทั้ 10 คนแล้ว ได้กล่าวต่อว่า วันนี้เป็นวันที่จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะเป็นวันเริ่มต้นนับถอยหลังไปสู่จุดจบของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และ4 วันนับจากนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะเปิดเผยความไร้ประสิทธิภาพ ขลาดเขลา เบาปัญญาของผู้บริหารประเทศอย่างพล.อ.ประยุทธ์ จะเปิดโปงการทุจริตฉ้อฉลของพล.อ.ประยุทธ์และคณะ และจะเปิดหน้ากากของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จทำร้ายประเทศชาติบั่นทอนประชาธิปไตย และคุกคามเสรีภาพของประชาชน

“เวลา 6 ปี 8 เดือน 26 วัน ที่พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศนี้ ทั้งในฐานะหัวหน้า คสช. เป็นนายกฯ หลังการรัฐประหาร และในฐานะนายกฯจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบเพื่อพล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้อง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติพังพินาศ ประชาชนทุกข์ยากแสนเข็ญยิ่งกว่ารัฐบาลใดๆ ในรอบ 8 ทศวรรษ ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ธุรกิจใหญ่น้อยล้มละลายทั่วทุกหัวระแหง ยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งที่ผ่านมารวมกัน ประชาชนมีความทุกข์ยากอย่างถึงที่สุด อึดอัดคับข้องใจในชะตากรรมที่ต้องใช้ชีวิต ภายใต้การบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์มากที่สุด สุดท้ายต้องตัดสินใจจบชีวิตตัวเองมากที่สุด ผู้ชายคนหนึ่งสิ้นหวังในชีวิตเพราะตกงาน จึงพาบุตรสาวตัวน้อยพเนจรไปพึ่งพาวัดธรรมนิยม ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา และเมื่อทุกข์ที่สุดจนสุดจะทานทน ในวันที่ 19 เมษายน 2563 เขาตัดสินใจโดดน้ำเพื่อหนีไปให้พ้นจากชีวิตที่มืดมน แต่ยิ่งน่าเศร้าใจ เมื่อบุตรสาววัย 5 ขวบร้องว่า “พ่ออย่าทิ้งหนู” แล้วกระโดดน้ำตามพ่อของเธอลงไป ในที่สุดจมน้ำตายทั้งพ่อลูก”นายสมพงษ์ กล่าว

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนอยากรู้จริงๆ ว่า ในใจพล.อ.ประยุทธ์รู้สึกอย่างไร สะเทือนใจไปด้วยหรือไม่ ประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบทุกข์ยากเช่นนี้ นอนหลับลงในแต่ละคืนได้อย่างไร ยังยิ้มแย้มสำเริงสำราญได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยทำตามสัญญาที่ให้ไว้เมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว ว่าจะคืนความสุขมาให้ประชาชน แทนที่พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง กลับเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะแสวงหาทางออกในทุกปัญหา กลับตีโพย ตีพาย เห็นปัญหาในทุกทางออก แทนที่ จะคิดเก่ง ทำเก่ง อย่างที่เคยโอ้อวดว่า การบริหารประเทศไม่เห็นยากเลย พล.อ.ประยุทธ์กลับบริหารประเทศแบบคิดไป ทำไป ไม่มีการวางแผน ไม่รอบคอบ ไม่รัดกุม กลับไปกลับมา และโยนความผิดให้ประชาชน ทำให้เมื่อเผชิญวิกฤตอย่างโรคโควิด -19 ประชาชนจึงทุกข์แสนสาหัส ธุรกิจใหญ่น้อยจึงทยอยล้มลง แม้ธุรกิจที่ยืนหยัดต้านทุกวิกฤตมาได้หลายสิบปี ก็ต้องปิดกิจการในยุคนี้ พล.อ.ประยุทธ์ลืมไปว่า ประชาชน 67 ล้านคนจ่ายเงินเดือนให้มาทำงาน เพื่อทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ประชาชนต้องการนายฯที่ห่วงใยประชาชน มากกว่าห่วงการรักษาอำนาจของตนเอง ประชาชนต้องการนายกฯ ที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่านายกฯที่สนใจแต่ความนิยมในโพลที่ลิ่วล้อบริวารเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่สามารถรวมพลังผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยกันพัฒนาประเทศชาติ ได้แต่อวดอ้างไปวันๆ ว่าซื่อสัตย์ แต่กลับนิ่งดูดาย วางเฉยให้พวกพ้องและบริวารทุจริตฉ้อฉล รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นได้เพียง “รัฐบาลปรสิต” ที่กัดกร่อนอนาคตของประเทศและกลืนกินความฝันของประชาชน รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จึงไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

“วันนี้เรามาประชุมร่วมกันเพื่อร่วมกันยืนยันให้ประชาชนได้ประจักษ์ว่า การเมืองในระบบรัฐสภา ยังเป็นที่พึ่งหวังให้กับประชาชนได้ ดังนั้นเราต้องร่วมสร้าง การเมืองแห่งความหวัง เราจะประกาศศักดิ์ศรีของนักการเมืองที่รักประเทศชาติ รักประชาชน ว่าพร้อมจะทำหน้าที่อย่างองอาจ ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจอยุติธรรม และไม่หวั่นไหวต่อผลประโยชน์ใดๆ ส.ส.รของพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะอภิปรายไม่หยุดยั้ง เพื่อแสดงหลักฐานอย่างแจ้งชัดว่า เราไม่อาจยินยอมให้พล.อ.ประยุทธ์ ทำหน้าที่นายกณต่อไปแล้วฉุดรั้งให้ชีวิตประชาชน จมดิ่งสู่ความทุกข์ทนยิ่งกว่านี้อีก เราเชื่อมั่นว่า การอภิปรายฯครั้งนี้ จะเป็นแสงแห่งความหวังที่ส่องสว่างไปทุกแห่งหน เพื่อไล่ความมืดมนที่พล.อ.ประยุทธ์สร้างไว้มาเกือบ 7 ปี และเพื่อให้กำลังใจพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า จากแม่สายถึงเบตง จากแม่สะเรียงถึงศรีเมืองใหม่ว่า เราต้องมีความหวังอยู่เสมอ เพราะจุดจบของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์กำลังมาถึงในไม่ช้านี้” ผู้นำฝ่ายค้านกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image