‘สมยศ’ เปิดใจ คดีไม่ปกติ คือข้อพิพาทระหว่างรัฐ-ราษฎร ฝากสภาจริงจัง ‘แก้ปัญหา 112’

‘สมยศ’ เปิดใจ คดีไม่ปกติ คือข้อพิพาทระหว่างรัฐ-ราษฎร ฝากสภาจริงจัง ‘แก้ปัญหา 112’ วอน ปล่อยทุกคน มองความปราถนาดี

สืบเนื่องจากกรณี ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน สองแกนนำกลุ่มราษฎร จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 7 ในความผิด มาตรา 112 ตาม ป.อาญาและข้อหาอื่นๆ กรณีชุมนุม 19-20 กันยายน 2563 โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยทั้งสองทำกิจกรรมที่จะทำความเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ให้มาศาลตามนัด หากผิดสัญญาให้ปรับคนละ 200,000 บาท นั้น

อ่านข่าว :

เมื่อเวลาประมาณ 17.20 น. ที่ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ได้รับการปล่อยตัว โดยนั่งรถยนต์ของญาติออกมาบริเวณประตูเรือนจำกลาง มีเจ้าหน้าที่ประกบข้าง ซึ่งประชาชนที่มารอต้อนรับ ต่างวิ่งตรงเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้นดีใจ บางส่วนเข้าสวมกอด บางส่วนบันทึกภาพ ทั้งนี้ นางยุพิน มณีวงศ์ มารดาของ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง และ นางมาลัย นำภามารดาของ นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ก็มาร่วมต้อนรับทั้ง 2 คน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

Advertisement

ขณะที่ เวลา 17.30 น. ที่ หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ประชาชนส่วนหนึ่ง นำโดย นายอาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ ศิลปินนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คนเสื้อแดง ทำกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง” 11.2 นาที พร้อมกับร้องเพลง แสงดาวแห่งศรัทธา ซึ่งประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ดังไกลมาถึงหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ขณะที่แกนนำทั้ง 2 คน กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

นายสมยศกล่าวว่า ขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่มีส่วนสำคัญในการรายงานข่าวของพวกตน และขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ส่งเสียงเรียกร้องในการปล่อยตัวตน กับไผ่ ในวันนี้ ตอนนี้ภารกิจอยู่ แม้ว่าได้ปล่อยตัวชั่วคราวออกมา เพราะยังมีเพนกวิน และพรรคพวกเราที่ทุกข์ทรมานในเรือนจำ ณ ขณะนี้

“ผมจะไม่หยุดเคลื่อนไหว มีภารกิจที่ต้องเรียกร้องความเป็นธรรมคืนให้กับเพนกวิน คุณอานนท์และพรรคพวกเราการประกันตัวเป็นสิทธิพื้นฐานที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ขอขอบคุณศาลที่เคารพในสิทธิของพวกเรา ให้ประกันตัวออกมาสู้คดี การที่ไม่ได้ประกันตัวมาสู้คดี หมายถึงว่า ตัดสินความผิดเขาล่วงหน้าไปแล้ว จึงอยากเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเราออกมาสู้คดีกันตามกระบวนการยุติธรรม การที่ไม่ให้เราสู้คดีแล้วอยู่ในเรือนจำ ก็หมายถึงการมัดมือชก ส่วนในคดีความผมเองก็เตรียมแถลงไว้หลายอย่าง เพราะไม่ใช่คดีปกติ เป็นคดีระหว่างรัฐ กับราษฎร เมื่อยังไม่ให้ประกันตัว ก็เท่ากับกระบวนการทั้งหมดยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติดี หวังว่าเพื่อนของเราจะได้รับการปล่อยตัว” นายสมยศกล่าว

Advertisement

นายสมยศกล่าวถึงกรณีที่ นายพริษฐ์อดอาหารประท้วง ว่า สำหรับเพนกวิน เขาบำเพ็ญเพียร และเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ในการที่จะต่อสู้อย่างสันติวิธี เลือกทรมานตนเอง เพื่อบอกให้สังคมทราบถึงความไม่เป็นธรรม คิดว่าเขามีความชัดเจน จึงต้องปล่อยตัวเขา ในแง่ให้ออกมาต่อสู้คดี พิสูจน์ความบริสุทธิ์

เมื่อถามถึงเงื่อนไขที่ว่า ห้ามออกมาชุมนุม

นายสมยศกล่าวว่า ทุกท่านคงรับทราบอยู่แล้ว พูดอย่างตรงไปตรงมา ก็คือยังมีเงื่อนไขห้ามทำการชุมนุมที่พาดพิงสถาบัน นี่คือเงื่อนไขที่สมัครใจ รวมถึงการออกนอกประเทศ เราหวังว่าจะเข้าสู่กระบวนการที่ทำตามปกติ

“พูดง่ายๆว่าการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิตามกฎหมาย วันนี้ศาลก็ไต่สวนแล้วว่า เราไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ไม่มีอิทธิพลใดใด ไปเกี่ยวพันกับคดี และเราก็ได้เสนอเงื่อนไขที่บอกว่า จะไม่พาดพิงสถาบัน หวังว่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติทุกคนได้ปล่อยตัวมาและต่อสู้กัน”

“นึกออกไหมว่า ฝ่ายรัฐมีอำนาจอยู่ข้างนอก พวกผม-ราษฎรอยู่ในคุก และการที่อยู่ในคุก โอกาสการต่อสู้ไม่มีเลย ยิ่งตอนนี้ นอกจากสูญเสียอิสรภาพ ในคุกยังถูกโควิดอีกชั้นหนึ่ง อย่างผมถูกกักตัว 3 รอบ รอบละ 14 วัน หมายความว่าเราจะไม่เห็นสายลม แสงแดดเลย หน้าซีดไปเลย น้ำหนักหายไป 3 กิโลกรัม เป็นภาวะที่กดดันมาก ซึ่งคิดว่ากระทรวงยุติธรรมควรจะให้ 1.มีการปล่อยตัวให้หมด โดยเฉพาะเรื่องประกันตัว ให้ทุกคนจะได้ออกมาต่อสู้คดี 2.ที่เป็นนักโทษเด็ดขาดแล้ว ก็ควรจะปล่อยตัวออกมาในรูปของการพักโทษ อย่างกรณี คุณสรยุทธ์ อยู่ในคุก โควิดไปถึงแน่นอน และไปถึงแล้ว ซึ่งจะไปกระทบกับสิทธิในการใช้ชีวิต เป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และลดความเสี่ยงภัย ไม่ว่าจะเป็นคุณอานนท์ นำภา เพนกวิน” นายสมยศกล่าว

เมื่อถามว่า เชื่อว่าการที่ตน และ ไผ่ ดาวดิน ได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ จะ ทำให้แกนนำคนอื่นได้รับการปล่อยตัวด้วยหรือไม่ ?

นายสมยศเปิดเผยว่า เป็นสัญญาณที่ดี ในสิ่งที่เราพยายามต่อสู้

“ผมบอกตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นศาลแล้วว่า ผมจะต่อสู้คดีได้อย่างไร ถ้าติดคุกอยู่ ผมจะไปขอพยานหลักฐานจากตรงไหน และผมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร เพราะฝ่ายหนึ่งอยู่ในคุก อีกฝ่ายหนึ่งอยู่นอกคุก และรัฐมีทรัพยากรมหาศาลในการกล่าวหา ปรักปรำ จับพวกผมไปอยู่ในคุก แล้วจะพูดว่าอย่างไร ‘หมดสิทธิ์’ โดนมาตรการโควิดเข้าไป เหมือนไม่ใช่จำเลย แต่เหมือนเชลยศึก เวลาส่งตัวไปศาล ตรวจค้น 5 รอบ ไปถึงศาลชู 3 นิ้วไม่ได้ จะไปกอดลูกสาวก็ไม่ได้ เหมือนมีแส้มาตรึงผมทุกครั้ง การพิจารณาคดีห้ามญาติไปข้างใน จึงเกิดกรณีที่ว่า ทนายความถอนตัว ก็เพราะเหตุนี่ คือสิ่งที่ไม่สามารถทำให้เดินหน้าในกระบวนการยุติธรรมได้”

เมื่อถามว่า ในส่วนของผู้ที่ปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว เช่น นายผพริษฐ์ มีข้อกังวลหรือไม่ ?

นายสมยศเผยว่า อยากให้ผู้ปกครองประเทศ พิจารณารากฐานของปัญหานี้ หากมองแค่ปรากฏการณ์ของเพนกวิน หรืออานนท์ จะไม่เข้าใจ แต่ละครั้ง คนเหล่านี้เขาปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง เขาจึงมีข้อเรียกร้อง เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ไม่ว่าเรื่องธรรมนูญ ให้รัฐบาลลาออก หากเข้าใจประเด็นนี้ นี่คือข้อพิพาทระหว่างรัฐ กับราษฎร

“ผมไม่ใช่อาชญากร ประเภทยิงใครตาย ปล้นสะดมใคร ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะความคิดเห็น ของเพนกวิน ของใครที่แตกต่างไปจากผู้ปกครอง ถ้ามองไปที่รากฐานของปัญหา เราจะเข้าใจว่า จะให้ต่อสู้อย่างไร ดังนั้น ถ้ากระบวนการที่ทำให้ปกติเช่น ไม่ให้ประกันตัว เท่ากับเป็นการลงทุนในต้นทุนของศาล ซึ่งต้องปกป้องเสรีภาพที่พวกผม คือสิ่งที่มอง ต้องมองไปถึงราก นี่คือข้อพิพาทระหว่างรัฐ กับราษฎร คนไม่เห็นด้วยกับรัฐในปัจจุบันนี้” นายสมยศกล่าว

เมื่อถามว่า ยังคงมีความหวังกับกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ?

นายสมยศกล่าวว่า มีตลอด วันนี้เป็นสัญญาณที่ดี สิ่งที่พวกตนพยายามต่อสู้ คือสิทธิอันพึงมีพึงได้ ซึ่งถ้าศาลไม่สามารถให้ได้ ตนเสนอตัวด้วยซ้ำว่า กรุณาเอาโทษประหารชีวิตให้ตน หรือหากไม่ได้ สุดท้ายตนก็ต้องยอมตาย

“เพราะเสรีภาพเหมือนลมหายใจ และคือความหมายของความเป็นมนุษย์ ความเป็นพลเมืองในประเทศนี้ ถ้าผมไม่มีเสรีภาพ สิ่งเหล่านี้หายไป ก็เป็นความหวังให้ต้องต่อสู้ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นห่วง ไม่ว่าเพนกวินจะตัดสินใจอย่างไร เพราะเขาได้อดข้าวมาหลายสัปดาห์แล้ว น้ำหนัก 110 กิโลกรัม ตอนนี้เหลือ 96 กิโลกรัม” นายสมยศกล่าว

เมื่อถามว่า กว่าจะมีการพิพากษาคดี มีแนวทางที่จะต่อสู้คดีอย่างไรบ้าง ?

นายสมยศเปิดเผยว่า ความจริงอยากให้สื่อมวลชนไปเปิดเทปดู ไปฟังการพูดจาของทุกคน จะเห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและ ข้อเท็จจริงนี้ สังคมไทยต้องยอมรับว่ามีคนพูด แล้วคนเหล่านี้ คือคนพูดความจริง

“คนแบบผมไม่ควรจะมีคดีด้วยซ้ำ ถ้าเปรียบเทียบไป ก็เหมือนเป็นร่างแห คล้ายๆ ว่าหว่านแหไป มีผมติดไปด้วยมากกว่า แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่ผมกระทำความผิด แต่เป็นเพราะผมมีความคิด ความอ่าน มีเสรีภาพที่แตกต่างไปจากผู้ปกครองประเทศต่างหาก

ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ และจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้ว่าสิ่งที่พวกผมได้พูด ได้คิด ได้ทำ เมื่อวันที่ 19 กันยายนนั้น มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ไม่ได้มีข้อความอันใดที่ทำให้เกิดความสูญเสีย คิดว่าสุดท้าย เรามั่นใจว่านี่คือความบริสุทธิ์ และเมื่อเราเห็นความปรารถนาดีของคนเหล่านี้แล้ว ผมคิดว่ากระบวนการยุติธรรมจะง่ายในการจัดการปัญหานี้ แต่ถ้ายังไม่ได้ ผมก็เป็นห่วง” นายสมยศกล่าว และว่า

“ผมเองแถลงกับศาลไปว่า คดีนี้ไม่เหมือนคดีทั่วไป คดีทั่วไปอาจจะมีบางคนติดคุก หรือตาย แต่คดีแบบนี้มีคนจำนวนมากเสียน้ำตาให้ คดีนี้มีคนจำนวนมากต้องโดนกระสุนยางเพื่อเรียกร้องการปล่อยตัว ต้นทุนของคดีนี้สูง ผมก็ไม่ปรารถนาความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากคดีนี้ อการที่ประชาชนออกมาเรียกร้อง นี่คือปัญหาที่แท้จริง”

“ส่วนเรื่อง 112 ผมพูดมานานแล้วว่า เป็นปัญหาของประเทศไทย ที่จะต้องมีการพิจารณา และอยากให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหานี้อย่างจริงจัง ขอเป็นเสรีภาพของประชาชนทุกคน ที่จะได้วิพากษ์วิจารณ์และแสดงความเห็น ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้าด้านสิทธิมนุษยชนได้” นายสมยศกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image