แกนนำ น.ศ. ‘พฤษภา35’ ชี้อำนาจนิยมคือภัยร้าย – การเมืองจะเดินไปได้ กติกาต้องอารยะ

แกนนำ น.ศ. ‘พฤษภา35’ ชี้ วัฒนธรรมอำนาจนิยมคือภัยร้ายแรง มองการเมืองจะเดินไปได้ กติกาต้องอารยะ – ถามทุกคนเลือกอะไร?

เมื่อเวลา 16.10 น. วันที่ 20 พฤษภาคม ที่ ลาน สวป. มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก กรุงเทพฯ เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย จัดกิจกรรม “มองอดีต คุยอนาคต” เพื่อร่วมรำลึกครบรอบ 29 ปี เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2535 โดยมี อดีตแกนนำนักศึกษา ผู้ผ่านเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมือง และเยาวชนกลุ่มลูกพ่อขุนฯโค่นล้มเผด็จการ ร่วมงาน

อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนักศึกษารามฯ พฤษภา35, อาจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตธิการราม ปัจจุบันรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายสิริวัฒน์ ไกรสิน อดีตนายกองค์การรามปี 34 และแกนนำนักศึกษารามฯ พฤษภา35, นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น, นายนันทพงศ์ ปานมาศ เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย นายจตุภัทร หรือ ไผ่ ดาวดิน แกนนำหมู่บ้านทะลุฟ้า และ นายธัชพงศ์ แกดำ

อ่านข่าว : ‘จตุพร’ ย้อน พ.ค.35 ชี้คนไทยตื่นยากแต่ตื่นแล้วเอาเรื่อง ‘วีระ’ เชื่อเมื่อถึงเวลา ปชช.จะยิ่งใหญ่

นายสมศักดิ์ ปานเมือง ตัวแทนจาก องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า มีเหตุการณ์ที่จะไม่เหมือนเดิมในความทรงจำ ในฐานะนักกิจกรรมรุ่นเรา แม้จะมาไม่ทันปี 35 แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเลือนหายไปจากประวัติศาสตร์และความทรงจำ ในฐานะตัวแทนนักศึกษาและนักกิจกรรม จึงขอมาร่วมไว้อาลัย และสดุดีวีรชน ที่เสียสละต่อสู้เรียกร้องความถูกต้อง และประชาธิปไตยให้กับประชาชนคนไทย

Advertisement

“เหตุการณ์วันนั้น เป็นเหตุการณ์ที่มีการสูญเสีย และการสูญหาย เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา และจะเป็นข้อเรียกร้องในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขอไว้อาลัยรุ่นพี่ หวังว่าจะมีสักวันที่จะสิ้นสุด และความถูกต้องนั้นจะกลับมาสู่คนไทยทุกคน” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาลัยรามคำแหงปี2533 แกนนำพฤษภา 35 และอดีต ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง กล่าวว่า ขอคารวะต่อวีรกรรมอันกล้าหาญของวีรชนพฤษภา 2535 พฤษภาคม เดือนตุลาคม และอีกหลายปีที่วีรชนประชาธิปไตย ร่วมต่อสู้ แลกทั้งชีวิต เลือดเนื้อ ขอคารวะไปถึงดวงจิตวิญญาณของท่านเหล่านั้น ผู้ร่วมอุดมการณ์ต่อสู้ทุกท่าน วันนี้วาระแรกของผม ที่ไม่ได้ออกไปร่วมงานที่ไหน นับจากปี 2535 ได้ทำงานเป็น ส.ว 2 สมัย พยายามสานต่อเจตนารมณ์และอุดมการณ์ ของวีรชน ยินดีและชื่นชมน้องรามคำแหง ที่ได้จัดงานรำลึกขึ้นมา

Advertisement

“สำหรับรามคำแหง ได้สรรค์สร้างและเคียงคู่ประชาธิปไตย มาโดยตลอด อยากให้ขีดเส้นใต้ทุกครั้งว่า ‘การรัฐประหาร’ จะตามมาด้วยความรุนแรง ไม่สงบ ของประเทศเสมอ รามคำแหงเกิด 2514 จอมพลถนอม กิตติขจร 2514 จากนั้นเกิด 14 ตุลาคม มหาวิปโยค นักศึกษาและประชาชนตายเป็นจำนวนมาก เราอาจเรียกสั้นๆ ว่า เริ่มต้นที่รามคำแหง แล้วไปจบลงที่ราชดำเนิน เพราะชาวรามคำแหง เรียกร้องความเสมอภาค ประชาธิปไตย จนมาถึงรัฐธรรมนูญ จากนั้น 3 ปี เผด็จการกลับมา 6 ตุลาคม 2519 น.ศ.รามคำแหง ได้ต่อต้านกลับมาของจอมพลถนอม และจอมพลประภาส ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกล้อมปราบกลางเมืองอย่างเหี้ยมโหด ฝ่ายเผด็จการใส่ร้ายว่า เยาวชนคนหนุ่มสาวซ้องสุมกําลัง มีอาวุธสงคราม ตามด้วยการเข่นฆ่า และรัฐประหารในเย็นวันนั้น เดินเข้าไปสู่วิถีของความรุนแรง ไม่ได้เกิดเฉพาะธรรมศาสตร์ แต่เกิดทั้งแผ่นดิน เราอาจไม่ทราบ จำนวนนั้นเป็นหมื่นกว่าศพ ความรุนแรงจากรัฐประหาร ฝ่ายอนุรักษนิยมเอง ก็ยอมรับว่า จะเดินแบบนั้นไม่ได้ ถึงที่สุดก็เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน เกิดการเลือกตั้ง ความสงบก็เกิด แต่ระบอบประชาธิปไตยจะทำให้เราเดินไปอย่างสันติได้ แต่ระบอบเผด็จการและรัฐประหารไม่มีทาง”

นายสิริวัฒน์กล่าวต่อว่า หลังจากนั้น ก็เข้าสู่การเลือกตั้ง และวนกลับมาอีก การไม่เคยปรับตัว และไม่เคยสรุปบทเรียน ด้วยอำนาจและความโลภของตัวเอง จึงเข้ามายึดอำนาจอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างใกล้เคียงเดิม 23 กุมภาพันธ์ 2534 ขณะที่เรากำลังประท้วงรัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ กับชาวสวนยางจากภาคใต้ ก็มีการผิดข้อตกลงเรื่องราคายางพารา หลังทหารยึดอำนาจ การเปลี่ยนแปลงใช้อาวุธไม่ได้ ต้องใช้ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เราจึงต้านรัฐประหารด้วยการก่อตั้งศูนย์นักศึกษาไทยต้านรัฐประหาร ขึ้น ณ วันนั้น รามคำแหงจับมือกันได้ด้วยความเข้มแข็ง

“แล้วก็หมกเม็ด สืบทอดอำนาจ มาในโมเดลเดียวกัน นำมาสู่การคัดค้านและการชุมนุมเรียกร้อง อดข้าวประท้วง และเกิดเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 วันที่ 18 พฤษภาคม สลายการชุมนุมช่วงบ่าย ศพแรกที่สังหาร คือ นักศึกษารามคำแหง เป็นเด็กนครศรีธรรมราช จากนั้น แห่มาชุมนุมต่อ ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมความพ่ายแพ้ และนับถืออีกจำนวนมาก ที่ไม่ใช่ชาวรามคำแหง แต่มารวมกัน ณ ลานแห่งนี้ ถึงที่สุด สุจินดาก็ลาออก

บทเรียนหนึ่งที่เราได้ผ่านมา การต่อสู้ของประชาชนนั้น ไม่ได้อยู่แค่ ‘เอาเผด็จการออกไป’ ประเทศเดินต่อไป เจริญได้ จะต้องสร้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีกลไกและสถาบันหลายอย่าง หนึ่งในนั้น รัฐธรรมนูญก็สำคัญ สังคมไทยโชคดี ที่หลังเกิดพฤษภาประชาธรรม เราได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่ง และผลพวงของรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ทำให้เกิดรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ สิ่งที่พูดบนเวทีหาเสียง ตรงกับที่แถลงในรัฐสภา และตรงกับผลงานที่จะเกิดขึ้นจริงได้ มากไปกว่านั้น กลไกในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าเรามีนายกฯ คนไหน ถ้าเรามีกระแสประชาชนที่ยอมรับในหลักการประชาธิปไตย และปฏิเสธหลักการที่เป็นอนาธิปไตย หรืออำนาจนิยมเผด็จการ จะรุ่งเรือง เราไม่ได้ตั้งมั่นที่ตัวบุคคล” นายสิริวัฒน์กล่าว และว่า

“ถ้ามีเมตตา และมีวิสัยทัศน์กว้างไกลสักหน่อย การไม่ถูกหักง่ายนิดเดียว จะอยู่ได้ด้วยการแบ่งปัน และกระจายอำนาจ ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยกติกาที่เป็นอารยะ เราจึงผ่านมาได้อย่างไม่ห้ำหั่น ม.รามคำแหง เป็นแบบจำลอง ว่าหากเรามีหลักการ มีกติกาอารยะโดยคนส่วนใหญ่ยอมรับและตัดสิน ไม่ใช่การบังคับ ยอมให้มีการเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย จะทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้

และต้องจดจำไว้ว่า ทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหาร จะเกิดความขัดแย้งใหญ่ นำไปสู่ความรุนแรง ไม่สงบ และความแตกแยกของประเทศ ปี 2549 เป็นประจักษ์พยานจนถึงวันนี้ ความขัดแย้งยังบานปลายอยู่ จากผลพวงรัฐประหาร

ความรุนแรงไม่สามารถยุติได้ด้วยความรุนแรง อำนาจปืนล้าสมัยไปนานแล้ว เหลือเพียงไม่กี่ประเทศที่ตัดสินด้วยอาวุธ ความเหลื่อมล้ำความยากจน เกิดขึ้นจากวันนั้นอย่างมีนัยยะ คนรักชาติ ซึ่งหมายถึงประชาชนและคนที่รักความเป็นธรรม เราไม่อาจยอมรับระบบ ไม่สามารถยอมรับการให้อภิสิทธิ์ชนไม่กี่คน ปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อัตราฆ่าตัวตายของคนไทยสูงที่สุดในอาเซียน เราปล่อยให้คนเข้าไปอยู่ในคุกมากอันดับต้นของเอเชียได้อย่างไร และชนชั้นนำไม่เคยให้ความจริงกับประชาชน นี่คือเรื่องที่โยงใยเป็นโครงสร้าง เป็นระบบ เราไม่ได้ใส่ร้ายรัฐบาล แต่ตัวเลขเห็นชัดเจน

“ตอนนี้ชนชั้นกลางและ SME เริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว ปล่อยไปจะตายหมู่ และลามไปทั่ว ยิ่งหนักไปใหญ่ จึงอยากเรียนว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ภัยร้ายแรงที่สุดในการยึดครองอำนาจ คือ ‘วัฒนธรรมอำนาจนิยม’ เป็นภัยร้ายแรงมหาศาล ในวาระนี้ เมื่อพูดถึงเยาวชนคนหนุ่มสาว ในฐานะอายุ 56 ปี เคยร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ในวันนั้นคิดว่าจะส่งมอบระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยให้คนรุ่นหลัง แต่ผมกลายเป็นคนหนึ่ง ที่มอบมรดกการเมืองที่พิกลพิการให้กับคนรุ่นลูก ซึ่งไม่มีความหวังในระบอบการปกครองแบบนี้ ในฐานะคนรุ่นก่อน ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

แล้วเราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร ต้องถามทุกคน ว่าท่านอยากให้เกิดสันติสุขขึ้นจริงหรือไม่ แล้วท่านคิดว่าการรวบอำนาจไปกองไว้ จะทำให้เกิดสันติสุขได้จริงหรือ ถามให้ชัดต่อไปว่า ประเทศนี้ควรเป็นของประชาชนทุกคนหรือไม่ เราจะเลือกการรวมศูนย์ หรือการแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ เราจะเลือกอะไร เราจะเลือกระหว่างใช้ปืน ใช้คุกบังคับตลอดเวลา กับให้คนมีเสรีภาพ มีส่วนร่วมระดมปัญญา เข้ามาสร้างสรรค์ประเทศของเรา คุณจะเลือกอะไร ระหว่างภราดรภาพ ที่ผมแปลว่าความ รัก กับความเกลียดชัง ผมเลือกเมตตาและข้อมูลที่เป็นอารยะ เพื่อเดินประเทศไปอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค” นายสิริวัฒน์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image