‘เพื่อไทย’ เสนอทางออกรัวๆ แก้วิกฤตโควิด เตรียมใช้ช่องทาง กม.-สภา เอา ‘ประยุทธ์’ ออกจากตำแหน่ง

‘เพื่อไทย’ เสนอทางออกรัวๆ แก้วิกฤตโควิด-19 ก่อนถึงทางตัน เตรียมใช้ช่องทาง กม.-สภา เอา ‘ประยุทธ์’ ออกจากตำแหน่ง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 5 กรกฎาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการเสวนาหัวข้อ “วิกฤตโควิด-19 : ทางออกก่อนถึงทางตัน” โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรค พท. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน และประธานอนุกรรมการนโยบายสาธารณสุขพรรค พท. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรค พท. และ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรค พท.

นายพิชัย กล่าวว่า อยากถาม พล.อ.ประยุทธ์ตามที่หลายคนได้ถามไว้คือ “ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนไหม?” ซึ่งถ้าได้ยิน ทำไมถึงทำทุกอย่างได้มั่วและเละได้ขนาดนี้จากฝีมือการบริหารของรัฐบาลและผู้นำที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จน พล.อ.ประยุทธ์ดูเหมือนจะหมดสภาพแล้ว อย่างไรก็ตาม ที่น่ากังวลคือสภาวะปัจจุบันที่ว่าแย่หนักอยู่แล้ว จะยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก เสียงร้องไห้ของประชาชนจะยิ่งดังขึ้นไปอีก เพราะสภาวะเศรษฐกิจที่จะยิ่งทรุดหนัก สภาวะการระบาดที่จะรุนแรงขึ้น คนเจ็บคนตายจะยิ่งมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดมาจากความผิดพลาดในการจัดการวัคซีนที่ตน และพรรค พท.เตือนมาตลอด แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่ใส่ใจ หรือคิดไม่เป็น ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ไม่สามารถจะอภัยให้ได้เลย

นายพิชัยกล่าวว่า อยากให้ข้อมูลเพื่อประชาชนจะได้เตรียมรับสถานการณ์ดังนี้ 1.สภาวะเศรษฐกิจจะยิ่งทรุดหนัก เศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้น ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 1.8% โดยที่ธนาคาร CIMB บอกว่าถ้ายังคุมโควิดไม่อยู่ เศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 1% และ ธปท.ยังได้ลดการคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจของปีหน้าเหลือเพียง 3.9% ซึ่งอาจจะต่ำกว่าได้อีก ซึ่งเมื่อรวม 2 ปีแล้วก็ยังต่ำกว่าเศรษฐกิจปี 63 ที่ติดลบถึง -6.1% เสียอีก โดย ธปท.หวังว่า เศรษฐกิจจะฟื้นได้ในปี 66 ซึ่งก็อีก 2 ปี ซึ่งประชาชนจะต้องลำบากกันต่ออีกมาก หนี้ครัวเรือนล่าสุดพุ่งขึ้นถึง 14.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 18 ปี แตะ 90.5% เรียบร้อย และน่าจะถึง 92% ในปลายปีตามที่ได้คาดการณ์ไว้

Advertisement

นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังเก็บรายได้ใน 8 เดือน พลาดเป้าไปเกือบ 2 แสนล้านบาทแล้ว ตามที่ได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และกว่าจะครบ 12 เดือน น่าจะพลาดเป้าเกือบ 3 แสนล้านบาทได้ หนี้สาธารณะที่รวมการกู้อีก 5 แสนล้านก็จะยิ่งพุ่งเกินเพดานที่ 60 %, หนี้เสียของภาตธนาคารยิ่งเพิ่มขึ้นมากจนกระทรวงการคลังและ ธปท. ต้องเร่งหามาตรการอุ้ม แต่ก็คงจะไม่ง่าย ถ้ารัฐบาลยังไม่มีแผนงานชัดเจน การปิดกิจการจะเพิ่มขึ้น คนจะตกงานเพิ่มขึ้น ระดับเงินเฟ้อจะสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อของโลก ระดับราคาสินค้าและราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาทางเศรษฐกิจจะถาโถมเข้ามามากขึ้น แต่รัฐบาลกลับทำตัวเหมือนไม่เดือดร้อน หัวเราะเฮฮา บนคราบน้ำตา และซากศพของประชาชนที่ถ้าไม่ตายจากไวรัสโควิด ก็ต้องฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจที่มีเพิ่มขึ้นทุกวัน

นายพิชัยกล่าวอีกว่า 2.ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสาเหตุหลักมาจากความผิดพลาดและล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีน คำถามที่ประชาชน คาใจในมุมของเศรษฐกิจ คือ ทำไมไม่สั่งวัคซีนหลายยี่ห้อมามากๆตั้งแต่แรก ทั้งที่มีเงินไม่ใช่ไม่มีเงิน กู้มาตั้ง 1 ล้านล้านบาทแล้ว เป็นการจัดลำดับความสำคัญที่ผิดพลาดมาก , ทำไมต้องเป็นซิโนแวค ทั้งที่ข้อมูลปรากฏทั่วไปว่าวัคซีนซิโนแวคไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าจากอินเดียได้ ถึงฉีดได้มากก็ไม่เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งก็ไม่เกิดประโยชน์ ทำให้คนคิดไปถึง GT 200 เลย ที่ซื้อมาแล้วเสียเปล่า, ทำไมราคาวัคซีนซิโนแวตที่ไทยซื้อถึงแพงกว่าที่ประเทศอื่นซื้อถึงประมาณ 100 บาทต่อโดส นี่เป็นเหตุผลที่สั่งวัคซีนซิโนแวคจำนวนมากใช่หรือไม่

Advertisement

“ข้อมูลในสื่อหลักสหรัฐ เดอะวอชิงตันโพสต์ เปิดเผยว่าบริษัทซิโนแวคมีประวัติการจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ยิ่งสร้างความสงสัยมากยิ่งขึ้น ห่วงจะเป็นเหมือนประเทศบราซิลที่ประชาชนประท้วงเพราะมีการรับสินบนจากบริษัทวัคซีนทำให้ไม่นำเข้าวัคซีนที่มีคุณภาพ และ ทำไมไม่สั่งซื้อ วัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์และโมเดอร์นา จำนวนมากๆ ในขณะที่ฟิลิปปินส์ยังสั่งซื้อได้ 40 ล้านโดส หรือแม้แต่ประเทศลาวยังมีวัคซีนไฟเซอร์ฉีดให้ประชาชน โดยไฟเซอร์บอกเองว่าได้ติดต่อกับประเทศกำลังพัฒนาทุกประเทศแล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธ
นี่เป็นเพียงบางคำถามเท่านั้น เรื่องวัคซีนยังมีคำถามอีกเป็นจำนวนมาก และ เป็นสาเหตุหลักของความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์ในปัจจุบันและจะยิ่งล้มเหลวมากขึ้นเรื่อยๆ” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ดังนั้นจึงอยากเสนอ “ทางออกก่อนถึงทางตัน” ใน 7 ทางออกดังนี้ 1.เร่งสั่งซื้อวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์และโมเดอร์นา รวมแล้วประมาณ 60 ล้านโดสให้เข้ามาเร็วที่สุด โดยควรจะระงับการซื้อวัคซีนซิโนแวคได้แล้วเพราะไม่เกิดประโยชน์ และต้องเร่งฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโดยด่วน 2.จัดการให้มั่นใจว่าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จะส่งมอบตามจำนวนที่ตกลง พร้อมเปิดสัญญาให้ประชาชนรับรู้ เพราะข้อมูลล่าสุดบอกส่าโรงงานผลิตได้ไม่ครบจำนวนที่คาดหมาย ซึ่งถ้าจำเป็นก็ต้องห้ามการส่งออกเพื่อใข้วัคซีนเพื่อกระจายฉีดให้ประชาชนในประเทศก่อน

นายพิชัยกล่าวว่า 3.เร่งกระจายการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพให้เร็วและมากที่สุด และกำหนดวันเปิดประเทศที่พร้อมและทำได้จริง ไม่ใช่ขายฝัน เพื่อเอกชนจะได้เตรียมพร้อมและทำการตลาดรองรับได้การเปิดประเทศได้อย่างเชื่อมั่น 4.จัดการวิธีการเยียวยาใหม่ ยกเลิกการแจกเงินสะเปะสะปะและการแจกหว่าน แต่มุ่งช่วยเฉพาะกลุ่มคนที่เดือนร้อนอย่างแท้จริง 5.เร่งออกซอฟต์โลน 0% ให้ภาคธุรกิจเพื่อสอดคล้องกับการเปิดประเทศ เพื่อภาคธุรกิจจะได้มีเงินทุนฟื้นฟูและดำเนินธุรกิจต่อได้ 6.เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปิดสวิตช์ ส.ว. เพื่อให้สะท้อนเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง อย่าปล่อยให้ประเทศเดินไปสู่ความวุ่นวายและถึงทางตัน เมื่อประชาชนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์แล้ว แต่ ส.ว.จะพยายามจะดึงดันกัน

“และ 7.พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลต้องออกไปได้แล้ว เพราะล้มเหลวเกินเยียวยา ไม่สามารถสร้างความเชื่อถือให้กับคนในประเทศและต่างประเทศได้แล้ว รัฐบาลที่เคยโม้ว่าเป็นดรีมทีมกลายเป็นรัฐบาลฝันร้ายของประชาชนไปแล้ว” นายพิชัยกล่าว

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่บนเหว และทุกคนจะตกลงไปตายหากไม่มีการจัดการสถานการณ์ที่ถูกต้อง โดยสัญญาณที่กำลังบอกว่าเรากำลังจะตกเหว คือ 1.รัฐบาลชุดนี้ โดย ศบค.ไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ และส่งต่อเชื้อเหล่านี้ไปต่างจังหวัดทั่วประเทศอีก ระบบทางการแพทย์ และทางสาธารณสุขเรากำลังจะล่มสลาย 2.ระบบทางการแพทย์เราไม่สามารถรับมือไหวแล้ว 3.เราไม่มีวัคซีนที่ดี ที่มีประสิทธิภาพที่ป้องกันการแพร่เชื้อได้ 4.เราไม่มีทิศทางที่ชัดเจนว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

นพ.ชลน่านกล่าวว่า ทั้งนี้ ตนขอเสนอ 4 เรื่องให้กับประเทศนี้ คือ 1.ขอเรียกร้องให้ประชาชนต้องสามารถตรวจหาเชื้อด้วยตัวเองได้ และต้องพยายามให้สถานบริการตรวจเชื้อได้ได้มากที่สุด 2.เราต้องสามารถจำกัดคนติดเชื้อได้ ต้องแยกคนติดเชื้อ ออกจากคนไม่ติดเชื้อให้ได้ เราต้องปรับแผน เช่น กักตัวที่บ้านโดยมีทีมคอยดูแล 3.วัคซีนเฉพาะหน้า เพราะวัคซีนเรามีจำกัด โดยในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ วัคซีนที่ผลิตในประเทศต้องใช้ในประเทศก่อน และคุณต้องกำหนดเป้าหมายฉีดแบบโฟกัสจุด เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง คุณจะหว่านแหไม่ได้เพราะวัคซีนเรามีจำกัด โดยต้องหาวัคซัน mRNA มาฉีดให้คนกลุ่มนี้ด้วย

นพ.ชลน่านกล่าวว่า นอกจากนี้ ศบค.ต้องรีบจัดหาวัคซีนทุกตัวให้เข้ามาเร็วที่สุด ตนเรียกร้องให้ยกเลิกซิโนแวค อาจจะติดแฮชแท็กในทวิตเตอร​์เป็นอารยะขัดขืนเลยว่า ถ้าเป็นซิโนแวคไม่ฉีด ยอมตายจากโควิดดีกว่าที่จะตายจากความอัปยศจากการบริหารงานไม่เป็นร ให้รู้ไปเลยว่าคุณฆ่าพี่น้องประชาชนอย่างเลือดเย็น และ 4.ล็อกดาวน์ หรือไม่ต้องตรวจทุกคน ไม่จำเป็นต้องปิดสถานที่ แต่ต้องตรวจทุกคน และต้องมีทีมเฝ้าระวังเข้าสอบสวนโรค ดำเนินการกักกันตัวภายใน 24 ชั่วโมง ตนเรียกร้องให้ กทม. ดำเนินการ

“สุดท้าย ประเด็นสำคัญที่สุด ผอ.ศบค.ต้องออก ถ้าไม่ลาออก เราจะใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการคุณ เหมือนที่อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาฯเสนอว่าท่านประมาท เลินเล่อ ปล่อยให้เชื้อแพร่กระจาย และจงใจปล่อยให้คนตายอย่างต่อเนื่อง ถ้าคุณไม่ออกด้วยจิตสำนึก หรือโนธรรมของคุณเองก็ต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย หรือมาตรการทางสภา” นพ.ชลน่านกล่าว

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญคือรัฐบาลใช้การทหารนำการสาธารณสุข การสาธารณสุข มีแพทย์ทางเลือก มีทางเลือกในการรักษา การทหาร ไม่มีทางเลือก มีแต่รวดเร็ว รุนแรง เปลี่ยนแปลงได้ เลยได้เห็นการออกประกาศตอนตี 1 ใช้ความมั่นคงนำการสาธารณสุข ระวังม็อบ มากกว่าระวังโรค ระบบรำวงต้องเลิก ศบค.ชุดเล็ก ไปชุดใหญ่ แก้ปัญหาไม่ทันโรค ล็อกดาวน์ผิดพลาด เยียวยาล้มเหลว วางแผนวัคซีนผิด ชนิดยอมรับเองเลย ถ้าหาวัคซีนดีๆมาฉีดให้ประชาชนตั้งแต่แรกปัญหาคงไม่หนักขนาดนี้ แต่กลับผิดซ้ำซาก ทำตัวเหมือนร้านข้าวราดแกง บังคับทุกคนต้องกินแกงฟักไก่ เหมือนกันหมด ทั้งที่มีคนที่พร้อมและอยากกินกุ้งแม่น้ำ ล็อบสเตอร์ แต่ห้ามสั่ง กับข้าวหมดยังไงก็ต้องกินแกงฟักไก่ เป็นผู้ร้ายปากแข็ง ถามยี่ห้อไหน มีหมด กำลังจะเข้ามาหมด จนคนสงสัยว่าเป็นวัคซีนทิพย์ เพราะไม่มีวัน เวลาที่ชัดเจน

นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า วัคซีนบางยี่ห้ออยู่ดีๆ ก็หายไลน์ไม่ตอบ สะท้อนวิธีคิดแบบทหาร คือไม่ผ่อนปรน ไม่มีทางเลือก เคยทำอย่างไร ก็ทำแต่อย่างนั้น วันนี้รัฐบาลถึงทางตัน ต้องถอยยาว ไปต่อไม่ได้แล้ว โดยขอเสนอทางถอยดังต่อไปนี้ 1.เร่งฉีดวัคซีน mRNA ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโดยเฉพาะพื้นที่สีแดง 2.แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการวัคซีน นำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์ให้กับประชาชน 3.เร่งตรวจเชิงรุก โดยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจเชื้อด้วยตัวเอง และเตรียมระบบรองรับการดูแลผู้ติดเชื้อที่บ้าน

นายอนุสรณ์กล่าวว่า 4.เร่งเยียวยาประชาชนเดือนละ 5,000 บาท อย่างน้อย 3 เดือน เร่งชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการยกเว้น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ ลดหรือหยุดดอกเบี้ยสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ และ 5.ยกเลิก ศบค.ไม่ต้องมีทั้งศบค.ชุดเล็ก ชุดใหญ่ เพราะล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ กลับไปใช้โครงสร้างการทำงานปกติ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญหาวิกฤตได้รับการแก้ไข ตราบที่ยังคงคิดเหมือนเดิม ทำแบบเดิม สถานการณ์ข้างหน้าจะวิกฤตมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไข

ขณะที่ น.ส.อรุณี กล่าวว่า ในสถานการณ์แบบนี้ทางออกที่เราควรพิจารณาคือการใช้อำนาจทางกฎหมายผ่านองค์กรตุลาการ เนื่องจากความผิดพลาดและล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดของรัฐบาล ตลอด 1 ปีกว่าที่ผ่านมา และ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค. ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอำนาจในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม่กฎหมายจะได้ให้เกราะคุ้มครอง แก้เจ้าหน้าที่รัฐ ตามมาตรา 17 ยกเว้นความผิดทางแพ่งทางอาญาและทางวินัยต่อเจ้าหน้ารัฐ แต่การจัดสรรวัคซีนที่ล่าช้า ทางเลือกวัคซีนที่ไม่หลากหลาย และความหละหลวมของรัฐบาลตั้งแต่มีการระบาดมาเกิดขึ้น ตั้งแต่ระลอก 1-3 จนถึงระลอกที่ 4 ที่มีสายพันธุ์อินเดีย ที่แพร่ได้ไวและมีอัตราการติดเชื้อในปอดสูง ยอดคนตายพุ่งสูงตั้งแต่เมษา-กค.64 รวมมากกว่า 2000 คน และมีอาการหนัก 2147 ราย แม้แต่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่ปลอดภัย

น.ส.อรุณีกล่าวว่า พรรค พท.เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เรามองว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ประมาท เลินเล่อ ละเว้น และล่าช้าในการบริหารสถานการณ์ในยามวิกฤติแบบนี้ พรรค พท.จะใช้กระบวนการทางกฎหมาย เอาผิดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ งดเว้น หน้าที่ที่พึงต้องกระทำ และจงใจที่จะกระทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชน พรรคเพื่อไทยจะศึกษาข้อกฏหมายและทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องชีวิตประชาชน และเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ให้ได้

น.ส.อรุณีกล่าวอีกว่า เรื่องที่ขอพูดถึงในการหาทางออกจากวิกฤต ถือเป็นมุมมองความห่วงใยในอนาคตของเด็กไทยก่อนจะสายเกินไป จากการประเมินของ กศส. ในเบื้องต้นปี 64 จะมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ประมาณ 70000 คนภายในสิ้นปี เพราะผู้ปกครองตกงาน โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพโรงแรม งานบริการ ภาคการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และอีกหลายอาชีพ ครัวเรือนที่ยากจนต้องแบกรับภาระด้านการเรียนสูงกว่า 4 เท่า ค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ด้วยความยากจนแบบเฉียบพลันตั้งแต่ปี 63 แต่รัฐบาลกลับไม่เคยเตรียมความพร้อมของเด็กไทยเลยเรื่องการศึกษา ตั้งแต่มีการระบาดตลอด1 ปีกว่าที่ผ่านมา ปัญหายังคงอยู่ที่เดิม

น.ส.อรุณีกล่าวว่า ตนจึงขอเสนอกระทรวงศึกษา 1.จัดสรรงบประมาณอุดหนุนกับกลุ่มเด็กเปราะบาง ยากจน ในต่างประเทศอย่างรัฐนิวยอร์กมีโครงการให้ยืมไอแพดและระบบซิมการดให้เด็กที่ยากจน จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่พรรคเพื่อไทยในสมัยท่านนายกยิ่งลักษณ์ ก็เคยเสนอและตระหนักเห็นความสำคัญเรื่องนี้มาก่อน 2.ยกเลิกการสอบวัดผลทุกระดับในสถานการณ์แบบนี้ เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความกดดันและถูกกีดกันจากระบบการศึกษา 3.ส่งเสริมการเรียนการสอนแบบ Active Learning มากขึ้น กำหนดรูปแบบการเรียนที่เด็กเสนอ Project Base ของตนเองตามความถนัดเพื่อพัฒนา Soft Skill ขอบตนเอง และ 4.เน้นเนื้อหาที่จำเป็นในวิชาพื้นฐานที่ควรรู้ แต่เพิ่มเติมเนื้อหาที่จะพัฒนาทักษะด้าน DQ Digital Intelligent ความฉลาดทางด้านดิจิตอล นอกจากทางด้าน IQ และEQ โดยเด็กสามารถเรียนได้จากฐานข้อมูลที่มี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image