“พิธา” ปลุก กมธ.โหวตคว่ำงบเรือดำน้ำ ชี้ เงิน 2.25 หมื่นล้าน ซื้อไฟเซอร์ได้ 35 ล้านโดส ชุด PPE 150 ล้านชุด จี้ กองทัพหากมีสามัญสำนึกเห็นแก่ปชช. ต้องถอนเรื่องออกจากวาระ
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 18 กรกฎาคม ที่พรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงกรณีที่งบการจัดซื้อเรือดำน้ำจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบระมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 ในวันที่ 19 กรกฎาคม ว่า การพิจารณางบฯของกระทรวงกลาโหม วงเงิน 2.25 หมื่นล้านบาท จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นลำที่ 2 และลำที่ 3 โดยลำแรกซื้อไปตั้งแต่ปี 60 ซึ่งทางกองทัพเรือแจ้งว่ามีความจำเป็นต้องซื้ออีก 2 ลำ และมีความจำเป็นต้องใช้ ทั้งนี้ เรื่องของสามัญสำนึก เงินจำนวน 2.25 หมื่นล้านบาท ในยามที่ประเทศวิกฤตมีผู้เสียชีวิตจากโควิดจำนวนมาก ตายแบบใบไม้ร่วง เหมาะสมหรือไม่ ที่จะไปซื้อเรือดำน้ำ เพราะเงินจำนวน 2.25 หมื่นล้านบาท สามารถนำไปซื้อวัคซีนไฟเซอร์ได้ 35 ล้านโดส ซื้อชุดPPE ให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ และอาสาสมัครที่คอยช่วยเหลือประชาชนในยามที่หาเตียงไม่ได้ ได้ 150 ล้านชุด ซื้อ Rapid Antigen Test ให้กับประชาชนทุกคนในประเทศไทยได้ 60 กว่าล้านชุด ซึ่งเป็นราคาที่เราต้องจ่ายเมื่อเปรียบเทียบกับเรือดำนำ้เพื่อที่เอามาจอดไว้
นายพิธา กล่าวต่อว่า การที่ฝ่ายกองทรัพเรือชี้แจงมาว่าเราจะซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำนี้มูลค่า 2.25 หมื่นล้านบาท ไม่ได้จ่ายทั้งหมด โดยงวดแรกจ่าย 15 เปอร์เซ็นต์ เราจะจ่าย 1 ใน 3ของ 15 เปอร์เซนต์ คือ 1,125 ล้านบาท ซึ่งตนคิดว่าคำแถลงของกองทัพเรือฟังไม่ขึ้น ถึงแม้จะจ่ายเงินน้อย แต่เงินจำนวน 1,125 ล้านบาท ก็เป็นภาษีของประชาชน ซึ่งสามารถเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคมเป็นแบบนี้ได้ ตนไม่ต้องการที่จะอนุญาติให้กองทัพใช้ภาษีของประชาชน ก้าวขาเข้าไปข้างหนึ่ง ถึงแม้จะจ่ายงวดแรกแค่ 1ใน 3 เท่านั้น
นายพิธา กล่าวต่อว่า หลายคนคงจำได้ว่าช่วงเวลานี้ของปีที่แล้วทางกองทัพก็ของบประมาณจำนวนเท่านี้ และไปอยู่ที่ชั้นอนุคณะกมธ.งบฯ มีการโหวตได้ 4 ต่อ 4 แล้วประธานอนุฯ ก็ออกเสียงว่าจะขอให้ซื้อเรือดำน้ำ เมื่อไปสู่กมธ.งบฯชุดใหญ่ ตอนนั้นมีแรงกดดันจากประชาชน สังคม และฝ่ายค้านที่คัดค้าน สุดท้ายกองทัพเรือก็ขอถอนวาระนี้ออกจากการพิจารณาเอง และในปีนี้วาระนี้ก็กลับเข้ามาอีกทั้งที่สถานการณ์โควิดปีที่แล้วไม่วิกฤตเท่าปีนี้
นายพิธา กล่าวต่ออีกว่า อยากสื่อสารโดยตรงไปยังกอบทัพ ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ในเรื่องความมั่นคงทางทหาร โดยเฉพาะความมั่นคงทางทะเลได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การต่อสู้ทางทะเลที่ใช้ยุทโธปกรณ์อย่างโจ่งแจ้ง เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งสองหมดยุคไปแล้ว ทุกวันนี้เป็นภัยคุกคามแบบใหม่ เช่นการใช้เรือประมงนำของเสียมลพิษไปทิ่งในพื้นที่ของศัตรูเพื่อสร้างความกดดันให้กับประเทศนั้น มีการใช้เรือประมงติดอาวุธ ข่มขู่ กดดันในการรุกรานของอีกประเทศ เพื่อเลี่ยงกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ด้วยอาวุธหนักอย่างเรือดำน้ำ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่กองทัพเรือต้องคิดและใช้บุคคลากรและอุปกรณ์ที่เหมาะสม และเตรียมการรับมือกับภัยรูปแบบใหม่
“ต่อไปนี้โลกใบใหม่จะเป็นเรื่องของสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม แสนยานุภาพของประเทศไม่ได้แข่งกันว่าใครมีเรือดำน้ำมากกว่ากันอีกต่อไป แต่แข่งกันกันที่ใครสามารถผลิตวัคซีนได้ ใครที่เป็นผู้บริจาควัคซีน ใครที่เป็นผู้รับบริจาควัคซีน ซึ่งผู้นำเหล่าทัพน่าจะเข้าใจ เพราะคิดว่าได้รับผลกระทบไม่ต่างจากประชาชนทั่วไป
เราคงจะไม่ต้องมาพูดกันซ้ำเดิมว่า ปีนี้กองทัพเรือถอดออกไป ปีหน้าก็มาขอใหม่ จึงขอวิงวอนไปยังกองทัพว่าถ้ายังมีสามัญสำนึกและเห็นแก่ความเดือดร้อนของประชาชน ขอให้ถอนวาระนี้ออกจากการพิจารณาของกมธ.งบฯ ในวันที่ 19 กรกฎาคม เหมือนอย่างที่ท่านได้ทำไปเมื่อปีที่แล้ว ” นายพิธา กล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่าปีนี้ก็ขอให้ใช้ตรรกะเดียวกัน ถ้าไม่ถอน ท่านยังคิดว่าการใช้ภาษีของประชาชนบนซากศพของประชาชนเอง การสูญเสียจากโรคระบาดในครั้งนี้ ท่านยังกล้าที่จะผลักเข้ามาในวาระการประชุมต่อ ตนและพรรคก้าวไกล ก็พร้อมอภิปรายสู้กับท่านในเรื่องเหตุและผล เพื่อนำไปสู่การโน้มน้าวทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ในการโหวตคว่ำ การงบประมาณเรือดำน้ำ 2 ลำนี้ หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากกองทัพ ที่เข้าใจความรู้สึกของประชาชน เพื่อทำให้เราอยู่ร่วมกันต่อไปได้