ประกาศกร้าว ถ้าผู้ว่าฯชื่อ ‘วิโรจน์’ กทม.ต้องไร้รีดไถ ลั่นถึงเวลาเลือกคนกล้าชนปัญหาเพื่อ ปชช.

‘ก้าวไกล’ เปิดตัว ‘วิโรจน์’ ชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. เจ้าตัวลั่น ถึงเวลาที่ต้องเลือกผู้ว่าฯที่ชนกับปัญหาเพื่อ ปชช.-กำจัดส่วย กทม.แล้ว

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 23 มกราคม ที่สำนักงานพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีการจัดกิจกรรมเปิดตัวผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานครของพรรค ก.ก. โดยมีสมาชิกพรรค ก.ก. อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค นายรังสิมันต์ โรม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม และประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก ท่ามกลางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้มข้น ทั้งการตรวจ ATK คนที่จะเข้าร่วมงานทุกคน และการจัดที่นั่งแบบเว้นระยะห่าง

การเปิดตัวผู้สมัคร เริ่มจากการเปิดวีดิทัศน์ให้ผู้มาร่วมงานรับชม จากนั้นนายพิธากล่าวว่า เมื่อพูดถึงการพัฒนาการเมืองท้องถิ่นก็ต้องพูดถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เพราะเป็นเวทีแรกที่ได้เลือก แต่ไม่ว่าจะผู้ว่าฯคนไหนก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่หมักหมมมานานได้ ตนอายุผ่านมา 41 ปี ก็ยังไม่เห็นผู้ว่าฯคนไทยที่ทำงานชนกับปัญหา มีข้ออ้างสารพัดที่ทำให้ กทม.ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

นายพิธากล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่แสนวิเศษที่เราจะสามารถเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. หลังจากที่ไม่ได้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มานานกว่า 7-8 ปี สร้างความหวัง ผู้ว่าฯที่พร้อมด้วยพลังบวก พร้อมแก้ปัญหา ไม่เอาปัญหาไปซุกไว้ใต้พรม เราจำเป็นต้องมีผู้ว่าฯที่สุดพิเศษให้กับประชาชนที่ไว้วางใจพรรคอนาคตใหม่มา

นายพิธากล่าวอีกว่า กว่า 1 ปีที่เราทำการเฟ้นหา และตนคิดว่าไม่มีคนไหนที่มีดีเอ็นเอของพรรค ก.ก.ได้มากกว่านี้ วันนี้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เอาเสาหลักที่เป็น ส.ส.ในสภามาปักให้ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนชาว กทม. ขอต้อนรับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

Advertisement

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายวิโรจน์กล่าวว่า หมดเวลาซุกปัญหาไว้ใต้พรม ถึงเวลาต้องเลือกผู้ว่าฯที่ชนกับปัญหาเพื่อประชาชนแล้ว ส่วยกรุงเทพฯคือปรสิตที่กัดกิน กทม. ถ้าเรากำจัดส่วยนี้ไปได้กรุงเทพฯจะดีขึ้นในหลายมิติ เพราะส่วยนี้กัดกินชาวบ้านตาดำๆ ฯลฯ ขั้นต่ำ 5 พันล้าน ขั้นสูงคือ 5 หมื่นล้าน คิดเป็น 15% ของงบประมาณกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม ท่านไม่ต้องห่วงว่าตนจะทำงานกับข้าราชการไม่ได้ เพราะข้าราชการที่ดีมีกว่า 95% ที่ต้องการทำงานกับผู้ว่าฯที่ดี ถึงเวลาที่ผู้ว่าฯกทม.ต้องพิสูจน์กับข้าราชการกรุงเทพฯว่าถ้าโกงจะไม่โต ผู้ว่าฯต้องกล้าประกาศว่าจะต้องไม่มีการรีดไถใน กทม. ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ ตนกล้าประกาศต้องหยุดรีดไถทันที และหากใครมีหลักฐานจะลากคอคนนั้นมาลงโทษ

Advertisement

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า ต่อมาคือระบบราชการส่วนกลาง และหน่วยงานที่ยั้วเยี้ยไปหมดใน กทม. จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราเห็นแล้วว่ากรุงเทพฯไม่ได้ขาดบุคลากรทางการแพทย์ที่ดี แต่ขาดการประสานงานที่ดี

“ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ ผู้ว่าฯคนนี้ต้องพร้อมชนกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผมชนมาแล้ว จะต้องกลัวอะไร เราไม่ได้ชนเพื่อเรื่องส่วนตัว แต่ชนเพื่อพี่น้องประชาชน ถ้าเป็นผู้ว่าฯแล้วปกป้องชีวิตประชาชนไม่ได้ จะเป็นผู้ว่าฯไปทำไม

“คน กทม.ทุกคนกำลังเจอปัญหากับนักขุด ทั้งขุดท่องประปา สายไฟ ฯลฯ ไม่ว่าจะสร้างทางเท้าดีอย่างไรก็เละเทะเช่นเดิม ดังนั้น ถ้าขุดแล้วต้องส่งคืนทางเท้าในสภาพที่ดี เพราะถ้าทำไม่ได้ต้องกลับมาแก้ สายไฟที่ระโยงระยางก็เช่นกัน ต้องจัดเก็บให้ดี ถ้าไม่ดีก็ต้องแก้ ถ้าไม่แก้ก็ต้องปรับ ต่อมาคือเรื่องน้ำท่วม คำถามไม่เกิดในใจหรือว่าทำไมไม่หาทางแก้ที่ถาวรกว่านี้ คำตอบคืออำนาจไม่ได้อยู่ที่ผู้ว่าฯ แต่อยู่ที่กรมเจ้าท่า หรืออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ผู้ว่าไม่คิดจะไปคุยเลยหรือ ผู้ว่าฯต้องพร้อมคุยทุกหน่วยงานเพื่อทะลุข้อจำกัดเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์กล่าวว่า พอกันทีกับกระสอบทรายรายปีและการแก้ปัญหาเช่นนี้ หลายปัญหาในกรุงเทพฯมีหลายหน่วยงานพัวพันกันอยู่ เช่น หากจะแก้ไขปัญหาไฟฟ้าต้องไปคุยกับกรมทางหลวง ปัญหามลพิษต้องคุยกับหลายหน่วยงาน กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การขนส่งทางบน ปัญหาอาชญากรรมก็ต้องคุยกับกองบัญชาการตำรวจ ซึ่งการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯทุกวันนี้แม้จะอยู่ในคอนโดก็มั่นใจไม่ได้ว่าจะได้รับความปลอดภัย ปัญหาอาชญากรรมรวมๆ แล้ว 1 ชั่วโมงจะมีคดีอาญาเกิดขึ้น 1 คดี ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะต้องบอกเพื่อนว่าถ้าถึงบ้านแล้วให้ไลน์มาบอก วัฒนธรรมเช่นนี้ยอมให้เกิดขึ้นกับกรุงเทพฯไม่ได้ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคนเดินถนนก็เช่นกัน

“ที่น่าหดหู่คือมีคนถูกรถชนเสียชีวิตบนทางม้าลาย สิ่งที่ผู้ว่าฯทำได้คือปรับปรุงทางม้าลายทั่ว กทม. ติดตั้งกล้องจับความเร็ว และกล้องวงจรปิด ตีเส้นชะลอความเร็ว ทำสัญลักษณ์ให้ชัด ติดสัญญาณไฟคนข้าม และต้องไปคุยกับกองบังคับการตำรวจจราจร ให้บังคับใช้ พ.ร.บ.การจราจรทางบก คำว่า ‘ชน’ ของเราคือการต้องไปประสาน แต่ถ้าประสานแล้วไม่คืบหน้า เราจะปล่อยให้ความทุกข์ร้อนของคน กทม.อยู่แบบเดิมไม่ได้ เราต้องตาม ต้องจี้ เพราะทุกครั้งที่ผู้ว่าฯยอมคือการลอยแพคน กทม.” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า ต่อมาคือต้องกล้าชนกับนายทุน ผู้ว่าฯกทม. ต้องพร้อมเป็นกันชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ ไม่ให้คนกรุงเทพฯถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกสูบเลือดสูบเนื้อจากนายทุน เช่น เรื่องค่ารถโดยสารรถไฟฟ้าแพง ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าค่าโดยสารที่แพงนี้มาจากสัญญาสัมปทานที่พัวพันกว่า 10 ฉบับ มีการเก็บค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน และแต่ละสัญญามีเงื่อนไขในการเก็บค่าโดยสารที่ไม่เหมือนกัน และทุกคนก็รู้ว่าทุกวันนี้เราค้างค่าจ้างเดินรถหัวโต ขณะที่คน กทม.หลายคนขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้ เพราะจ่ายค่ารถไฟฟ้าไม่ไหว

นายวิโรจน์กล่าวว่า เชื่อว่าวันนี้คน กทม.ไม่ได้ต้องการผู้ว่าฯที่สร้างรถไฟฟ้า แต่คนกรุงเทพฯต้องการผู้ว่าฯที่ทำให้คนกรุงเทพฯขึ้นรถไฟฟ้าได้ต่างหาก ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ ทุกคนรู้ว่าส่วนต่อขยายมีสัญญาที่เป็นสิ่งลึกลับดำมืด อย่างน้อยผู้ว่าฯที่ชื่อวิโรจน์จะเปิดเผยสัญญาฉบับนี้ทันที ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีความเชื่อมโยงกับคำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 ตราบใดที่สัญญาไม่ถูกเปิดว่าไปเจรจาอะไรกันไว้ ปัญหาจะแก้ไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ผู้ว่าฯต้องกล้าทำ และผู้ว่าฯต้องกล้าเป็นหัวหอกในการเปิดตั๋วร่วม จะติดที่ไหนไม่รู้ แต่ต้องไม่ติดที่ผู้ว่าฯใส่เกียร์ว่าง

“หลายเรื่องเกินกว่าอำนาจผู้ว่าฯกทม. แต่จะบอกว่าไม่มีอำนาจแล้วปล่อยให้คน กทม.อยู่ตามยถากรรมไม่ได้ ผู้ว่าฯต้องส่งข้อจำกัดต่างๆ ให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ในการทบทวนแก้ไขกฎหมาย เพิ่มอำนาจให้กับผู้ว่าฯ ให้ผู้ว่าฯสามารถดูแลคุณภาพชีวิตให้คน กทม.ได้ดีกว่านี้ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ผู้ว่าฯกทม.ทำงานคนเดียวไม่ได้ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผู้ว่าฯกทม.ต้องมี ส.ส.ที่กล้าหาญอย่างพรรค ก.ก.อยู่ในสภา เราจะทำงานสอดประสานกัน เพราะเราทำงานกันเป็นทีม” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน​์กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าผู้ว่าฯกทม.ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่มีเทคนิคล้ำเลิศ เป็นคนธรรมดาก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่มองคน กทม.ทุกคนเป็นเหมือนพี่น้อง ญาติ เป็นคนในครอบครัว และพร้อมที่จะทุ่มเทมทำงานหนัก มีเจตจำนงมุ่งมั่นที่จะทำงานบริหารแบบลงรายละเอียด เก็บทุกเม็ดเพื่อปกป้องชีวิตของคน กทม. นี่คือหน้าที่ผู้ว่าฯ ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ กทม.ไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองที่ติดระดับโลกเพื่อคนอื่น แต่ กทม.ต้องเป็นเมืองที่คนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ มีลมหายใจที่นี่อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ต้องมีสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ดี

“กรุงเทพฯต้องพร้อมเป็นฟูกผืนหนึ่งที่ทำให้คน กทม.ทุกคนมั่นใจว่าถ้าวันหนึ่งเราพลาดล้มลง เราต้องไม่เจ็บหนัก และพร้อมที่จะลุกขึ้นยืนใหม่ได้ ไม่ใช่ล้มคนเดียวล้มทั้งบ้าน ถ้าเปรียบกรุงเทพฯเป็นโรงเรียน ก็ต้องไม่ใช่โรงเรียนที่เอาแต่เด็กห้องคิงส์ แล้วทิ้งเด็กห้องอื่นต้องไม่ประคบประหงมแต่นักเรียกต่างชาติ

“ผมเริ่มต้นการทำงานกับพรรคอนาคตใหม่ จนวันนี้อยู่กับพรรคก้าวไกล ผมเชื่อมาโดยตลอดว่าเราสามารถลงมือทำให้สังคมที่เราอยู่ดีกว่านี้ได้ และผมยังเชื่ออย่างนั้น และผมยังเชื่อเสมอว่าเราสามารถส่งผ่านอนาคตที่ดีให้กับลูกหลานของเราได้ ดีเอ็นเอของความเป็นอนาคตใหม่ บนวิถีทางการทำงานของพรรคก้าวไกลทำให้ผมพร้อมที่จะชนกับทุกปัญหาเพื่อคนกรุงเทพฯ และพร้อมที่จะแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา โดยเอาผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯเป็นตัวตั้ง

“ผมพร้อมที่จะปักธงอนาคตเพื่อพาผู้คนที่แตกต่าง หลากหลายในสังคมกรุงเทพฯให้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน พอกันที และพอได้แล้วกับกรุงเทพฯชีวิตดีๆ ที่คุณต้องจ่าย หากเมื่อไหร่ที่คุณไม่จ่าย คุณก็ต้องเจ็บ ต้องทนจนชินไปเอง หมดเวลาที่เราต้องทน หมดเวลาที่จะซุกปัญหาไว้ใต้พรม ถึงเวลาที่ต้องเลือกผู้ว่าฯที่พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพฯ และถ้าคนกรุงเทพฯต้องการคนที่พร้อมชนแบบเก็บทุกรายละเอียด ชนทุกปัญหา ผมก็พร้อมอาสาเป็นคนคนนั้น ช่วยกันสะบัดพรม กรุงเทพฯได้เวลาเก็บกวาดแล้วครับ” นายวิโรจน์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image