ยิ่งใกล้วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม มากเพียงใด ความคึกคักอย่างเข้มข้นของบรรยากาศการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง “ซ่อม” ในเขต 9 จตุจักร หลักสี่ ยิ่งมากด้วยความแหลมคม
เป็นความแหลมคมที่สัมผัสได้ในความเคลื่อนไหวของ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ และนายสุรชาติ เทียนทอง
เป็นความแหลมคมในความเคลื่อนไหวลักษณะ “ซุ่มซ่อน” แบบ “ลึกล้ำ” ไม่ว่าจะมาจาก นางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ไม่ว่าจะมาจาก นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี หรือแม้กระทั่ง นายพันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์
ภาพสะท้อนจากชุมชนแห่งหนึ่งในหลักสี่ที่ไม่ยอมให้ทีมผู้สมัครจากพรรคการเมืองหนึ่งเข้าไปหาเสียงในพื้นที่ คือรูปธรรมแห่งความซับซ้อนของสถานการณ์
ยิ่งเห็นคำสั่ง กทม.แต่งตั้งผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรคการเมืองหนึ่งเข้าดำรงตำแหน่ง “ผู้ช่วยเลขานุการ” ผู้ว่าฯกทม. ยิ่งก่ออาการตะลึงตึงในทางการเมืองอย่างล้ำลึก
อย่าได้แปลกใจหากจะมีบางพรรคการเมืองยื่นหนังสือเตือน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ให้วางตัว “เป็นกลาง” ในการเลือกตั้ง
ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งที่เขต 9 จตุจักร หลักสี่ เสมอเป็นเพียงการเลือกตั้ง “ซ่อม” กระนั้นก็ต้องยอมรับในบทบาทและความหมายของการเลือกตั้งครั้งนี้ว่ามีความสำคัญ
ไม่เพียงสำคัญเพราะคนของพรรคเพื่อไทยจะทวงคืนตำแหน่งที่พรรคพลังประชารัฐได้ไปอย่างชวนให้สงสัยเมื่อเดือนมีนาคม 2562
หากพรรคการเมืองใหม่อย่างพรรคกล้ายังส่งคนระดับเลขาธิการพรรคลงชิงชัยในครั้งนี้ พร้อมกับความเชื่อมั่นในกำลังภายในที่เคยทำงานเป็นที่ปรึกษาอยู่ใน กทม.
ขณะที่พรรคก้าวไกลก็พร้อมประสานการเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯกทม.” เข้ากับการเลือกตั้ง “ซ่อม” อันดำรงอยู่เหมือนกับเป็นกระดานหกไปยังการเลือกตั้งทั่วไปในพื้นที่ กทม.อีกด้วย
บทบาทและความหมาย ของการเลือกตั้ง “ซ่อม” เขต 9 จตุจักร หลักสี่ จึงเท่ากับเป็นการซ้อมและประลองพลังทางการเมืองที่ทวีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น
เนื่องจาก “กรุงเทพมหานคร” คือรูปจำลองแห่ง “ประเทศไทย”
แม้จะเพลี่ยงพล้ำมาจากชุมพรและสงขลา แม้จะอยู่ในภาวะระส่ำระสายขัดแย้งแตกแยก แต่มีหรือที่พรรคพลังประชารัฐจะยอมแพ้
คำตอบทุกคำถามจะได้มาในวันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง