อ่าน ‘แสนปิติ’ เขียนถึงพ่อ ‘ชัชชาติ’ ว่าที่ผู้ว่าฯกทม. รัฐประหาร และ ประชาธิปไตย

ภาพจาก thaienquirer

อ่าน ‘แสนปิติ’ เขียนถึงพ่อ ‘ชัชชาติ’ ว่าที่ผู้ว่าฯกทม. รัฐประหาร และ ประชาธิปไตย

ภายหลังจากที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คว้าชัยในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 กวาดเสียงเฉียด 1.4 ล้านเสียง จากคนกรุงเทพฯ ทิ้งห่างผู้สมัครรายอื่นกว่าล้านคะแนน

ในวันครบรอบ 8 ปี รัฐประหาร ที่เขาเคยระบุว่า เขาได้ถูกคลุมหัว และคุมตัวไว้กว่า 7 วัน

หลังรู้ผลเลือกตั้ง เขาบอกว่า ลูกชายโทรมาบอกทำสำเร็จแล้วพ่อ (ยิ้ม) ลูกชายยังเรียนอยู่อเมริกา

ล่าสุด แสนปิติ สิทธิพันธุ์ ลูกชายของชัชชาติ ได้เขียนบทความลงในเว็บไซต์ thaienquirer พูดถึง รัฐประหาร ประชาธิปไตย และ พ่อของเขา ผู้ทำงานหนักเพื่อประเทศไทยที่ดีขึ้น

Advertisement

“8 ปีมาแล้ว นับถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันจดจำมันได้อย่างดี” แสนปิติ ใช้ประโยคนี้ในการเริ่มต้นพูดถึงเหตุการณ์รัฐประหาร ปี 2549 ที่ยึดอำนาจรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งพ่อของเขา ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

และว่า เหมือนกับคนไทยหลายล้านคน ที่เป็นประจักษ์พยาน ถึงเหตุการณ์ที่น่าสยอง บนจอโทรทัศน์ มันเป็นวันธรรมดาเหมือนกับวันอื่นๆ ผู้คนต่างออกมาใช้ชีวิตของพวกเขา แต่เบื้องหลังม่านความปกตินั้น ประชาชนถูกสั่นคลอนจากการประท้วงของ กปปส. ที่ต่อต้านรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไม่ใช่เรื่องราวอันปกติทั้งหมด

“รัฐบาลพังทลายลง เหมือนกับดอกไม้ร่วงโรย กลีบสุดท้ายถูกกองทัพดึงทำลาย ประชาธิปไตยถูกล้อมเอาไว้อย่างสิ้นเชิง”

Advertisement
ภาพจาก thaienquirer

ติดอยู่ที่หน้าจอ พวกเราเห็นประชาธิปไตย และ เสรีภาพ ปลิวหายไปในอากาศ เหมือนถูกไล่ไปด้วยเวทย์มนต์อันเปี่ยมไปด้วยเล่ห์กล โดยนักมายากลที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผท.ทบ.อารมณ์ร้าย ผู้มีชื่อเรื่องการปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่แล้ว การประกาศทางโทรทัศน์ของประยุทธ์ กระทำการรัฐประหาร และการถือครองอำนาจ เป็นลางไม่ดี สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเรา

ตอนนั้นผมเรียนอยู่มัธยมต้น ทั้งเด็ก และ ดื้อรั้น พยายามจะทำความเข้าใจกับช่วงเวลาอันวุ่นวายนี้ เรื่องราวทั้งหมด ทำให้ผมหลงลืมราวกับว่า ถูกมองผ่านเมฆหมอกที่มืดครึ้มของความไม่รู้ เหมือนกับคนไทยคนอื่นๆ พวกเรารู้ว่าประเทศของเราถูกแบ่งแยก แต่เราไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

ตั้งแต่รัฐประหาร ประเทศไทยกลายสถานที่ ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่กี่ปีมานี้ได้เกิดสิ่งใหม่ในการเมืองไทย ที่เราได้เห็นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเรียกร้องเสรีภาพ อิสรภาพ และ ประชาธิปไตย ของคนรุ่นใหม่ และประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลอย่างท่วมท้น

เริ่มต้นจากการเลือกตั้งปี 2562 ที่เป็นสัญญาณปลุกเตือนประเทศของเรา ผู้คนเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมือง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย เหมือนกับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความร้าวฉานทางประวัติศาสตร์ ณ จุดที่ตกต่ำที่สุดของเรา มีสิ่งใหม่ได้เกิดขึ้น

“เป็นสัตว์ร้ายตัวใหม่ อย่างที่พวกเขาเรียก”

ภาพจาก Cochlear Southeast Asia

เมื่อได้มองสะท้อนกลับไป ถึงประชาธิปไตยไทย และสิ่งที่มันยืนหยัดเพื่อ ผมเรียกมันว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เรากลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง เป็นโอกาสที่จะได้สิ่งที่เหล่านายพลปล้นไปจากเรา กลับคืนมา

ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการในปี 2565 เป็นเวทีอันสมบูรณ์แบบ สำหรับประชาธิปไตยใหม่ ที่หยั่งรากลึก มันไม่น่าแปลกใจเลย หลังจากที่คนอดทน และ ตั้งใจมานานหลายปี ประชาชนไทยก็ได้เปล่งเสียงแล้ว ชัยชนะนี้มีความหมายมากมาย เพราะ ได้แสดงออกให้เห็นว่าพวกเราคนไทย สามารถปรองดอง และรักกันได้ ละทิ้งความแตกต่างของปัจเจกชน สู่การประนีประนอม และการรวมชาติเป็นหนึ่งอีกครั้งหลังจากแตกแยก

การเลือกตั้งครั้งนี้ ได้สอนบทเรียนอันล้ำค่าแก่เรา เราต้องสามัคคีเพื่อต่อต้านความเกลียดชัง เราต้องร่วมมือกันเพื่อวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นของไทย ที่จะไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง

สำหรับผม มันคือความอุตสาหะส่วนตัว มันมีความหมายมากกว่านั้น

ผมได้รับเกียรติ และสิทธิพิเศษ ที่จะได้เรียกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ว่า เพื่อน ที่ปรึกษา บางครั้งก็เป็นคู่แข่ง สำหรับผมแล้ว เขาเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยม เป็นผู้ชายที่มีผลประโยชน์สูงสุดของชาวกรุงเทพมหานครอยู่ในจิตใจ ผมได้เห็นเขากับตา ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยตลอดชีวิต ทั้งในที่สาธารณะ และชีวิตส่วนตัวของเขา

ภาพจาก Cochlear Southeast Asia

เมื่อโตขึ้น พ่อได้เป็นแบบอย่างให้กับผม เป็นแบบอย่างให้กับชีวิตของผม เขาสอนผมมากมายเกี่ยวกับความมุ่งมั่น ความเอาใจใส่ และการไม่ตัดสินผู้อื่น เขาย้ำเสมอว่าการทำงานกับทุกคนเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าเราจะแตกต่างกัน ตั้งแต่ผมเห็นเขาทำงานในรัฐบาลมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครทำงานหนักไปกว่าเขาเพื่อการบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว

ที่สุดของชัยชนะครั้งนี้ ก็คือ ความพยายามของคนไทย ในการร่วมมือกัน เพื่อเคารพต่อประชาธิปไตย ตามความมุ่งหมายที่สู่ความทันสมัย มรดกอันยิ่งใหญ่ที่สุดของการเลือกตั้งครั้งนี้ คือข้อเท็จจริงที่ว่า คนกรุงเทพฯนับล้าน ได้ระบุเจตจำนงของเขาอย่างชัดเจน ว่าพวกเขาต้องการเมืองที่น่าอยู่สำหรับผู้คน และเมืองที่ต้อนรับทุกคน

ชัยชนะครั้งนี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย บนแผนการอันยิ่งใหญ่ของสิ่งต่างๆ แต่มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เป็นโอกาสในการซ่อมแซมสะพาน และนำพวกเราทุกคนมารวมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาประเทศไทย

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

ทั้งนี้ แสนปิติ บกพร่องทางการได้ยิน โดยรู้ว่ามีอาการหูหนวก ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ช่วงแรกใช้เครื่องช่วยฟัง แต่มีปัญหากับเด็ก หมอจึงได้แนะนำให้ผ่าตัด ฝังอุปกรณ์ Cochlear จนสามารถใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป โดยเขาชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะคิกบอกซิ่ง

แสนปิติ เคยให้สัมภาษณ์กับ Cochlear Southeast Asia ตั้งแต่ปี 2019 ถึงพ่อของเขาว่า คุณพ่อเหมือนเป็นเพื่อนสนิท ที่คอยอยู่เคียงข้าง สู้ไปกับเขาในทุกช่วงของชีวิต ไม่เคยยอมแพ้แม้ว่าชีวิตจะยากลำบากมากแค่ไหน พ่อคือต้นแบบ และจะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพราะพ่อสู้เพื่อเขามาตลอด

ภาพจาก Cochlear Southeast Asia

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ย้อนฟังคลิป “แสนปิติ” พูดถึงพ่อ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ยกเป็นไอดอลของลูก

ภูมิใจ! ชัชชาติ เล่าลูกชายโทรมายินดี บอกพ่อทำสำเร็จแล้ว เผยแฟนคลับฟันน้ำนมตรึม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image