‘สุทิน’ ชี้กัญชาเสรีละเมิดกติกาโลก มีประโยชน์ทับซ้อน เปิดคลิปอนุทินหาเสียงชัด ใช้พี้ได้

‘สุทิน’ ฉะ ‘บิ๊กตู่-หมอหนู’ ปมปล่อยกัญชาเสรี ลั่นอย่าโยนบาปว่าสภาปล่อยผี หวั่นเป็นนครกัญชา มีแต่ขี้ยาเข้าประเทศ แฉมีนักการเมืองใหญ่ข้ามไปทำไร่กัญชาที่ลาว และมีบริษัทยักษ์ใหญ่วางระบบธุรกิจไว้หมดแล้ว

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จำนวน 11 คน วันแรก

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

จากนั้น นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน ลุกขึ้นอภิปราย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอนหนึ่งว่า ทั้ง 2 ท่านได้กำหนดและจัดให้มีนโยบายกัญชาเสรีด้วยความไม่สุจริตใจเป็นที่ตั้ง นำมาซึ่งการละเมิดกติกาโลก ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เท่านี้ยังไม่พอ ท่านยังดำเนินนโยบายแห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย และละเมิดมติของรัฐสภาไทย รวมทั้งท่านยังละเลย ละเว้น ไม่ควบคุมกัญชาในสิ่งที่ควรจะเป็น โดยหลายอย่างนำมาซึ่งความเสียหายต่อประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งเรื่องกัญชาเสรีตนไม่อยากพูด หากนักการเมืองซึ่งรักษาเนื้อรักษาตัวจะได้รู้ว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ร้อนแรงมากในสังคม มีการวิวาทะและมีประชาชนทั้งฝ่ายที่อยากได้และต่อต้าน ซึ่งอาจจะมีการเดิมพันด้วยธุรกิจด้วย

ทั้งนี้ ตนก็มีความกังวลใจว่า หากการพูดของตนไปกระทบต่อจิตใจของประชาชนบางส่วน รวมถึงไปกระทบธุรกิจที่หลายคนกำลังจะมีการลงทุนไว้เป็นเงินจำนวนมาก หรือบางชุมชนก็มีการลงทุนธุรกิจนี้ไว้ ซึ่งหากตนพูดวันนี้แล้วไปทำธุรกิจเขาพัง หรือล้มเหลว ตนก็จะรู้สึกบาป แต่หากตนตัดสินใจพูดวันนี้ก่อนที่เขาจะถลำลึกไปกว่านี้อาจจะช่วยให้เขาไม่เจ๊งในวันหน้า ความเสียหายหากจะมีในวันหน้าแต่รู้ในวันนี้ หรือนักธุรกิจอาจจะปรับขนาดธุรกิจของตนเองให้เหมาะสม ทั้งนี้ ในการพูดครั้งนี้อาจจะเปิดโอกาสให้นายอนุทินให้ท่านได้อธิบายขยายความข้อกล่าวหาของท่าน ซึ่งท่านอาจจะเป็นพระเอกและตนเป็นผู้ร้ายก็ได้ หากคิดในมุมนี้ตนต้องพูดเพื่อให้โอกาสท่านรวมถึงตัวของท่านนายกรัฐมนตรีด้วย

Advertisement

นายสุทินกล่าวต่อว่า หากเคยได้ยินว่ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็จะผิดทุกเม็ด วันนี้นายอนุทินและ พล.อ.ประยุทธ์กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดและผิดมาตลอด จนตนไม่เคยรู้ว่าจะต้องรื้อกระดุมทุกเม็ดหรือต้องเผาเสื้อทิ้ง ซึ่งที่ตนมองว่าเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดและผิดมากที่เราสะเทือนใจคือ สามารถเอาไปสูบได้ทุกคน ผีก็สูบได้ และหลายเรื่องที่มาถึงวันนี้เป็นการหลอกลวงประชาชน ซึ่งเมื่อติดกระดุมเม็ดแรกผิดจากนโยบายของนายอนุทินก็มาสู่นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งนโยบายนี้ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล ที่หาก พล.อ.ประยุทธ์หรือรัฐบาลไม่รับนโยบายนี้ ไม่ผลักดันนโยบายนี้ ไม่เข้าร่วม หรือถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องจำยอมเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อมา นายกฯจะโยนความผิดให้นายอนุทินไม่ได้ เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลไปแล้ว และท่านก็ดำเนินนโยบายทันที ซึ่งการดำเนินนโยบายนั้นถือเป็นการผิดกติกาโลก คือเขาถือว่ายาเสพติดเป็นอาชญากร และเมื่อปี 2504 ได้เกิดสนธิสัญญาขึ้นฉบับหนึ่งคืออนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ 1961 กับยูเอ็น โดยทั่วโลกได้ไปลงนามกัน ซึ่งประเทศไทยก็ไปลงนามกับเขา และเมื่อมีสัญญาอีก 1-2 ฉบับที่เกี่ยวกับการป้องกันยาเสพติดตามมา เราก็ลงนามหมดและมีการประกาศสัตยาบัน ซึ่งเป็นการลงนามด้วยความสมัครใจ

นายสุทินกล่าวด้วยว่า องค์การสหประชาชาติจัดกัญชาไว้ในยาเสพติดบัญชีที่ 4 ซึ่งก็ได้มีมาตรการต่างๆ กำหนดไว้ในอนุสัญญาอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อมาถึงปี 2563 มนุษย์เริ่มพบว่ากัญชาเริ่มมีประโยชน์ ประเทศในโลกก็เริ่มเรียกร้องที่จะผ่อนคลาย ซึ่งในส่วนนี้เป็นที่ที่คนเข้าใจผิดมาก ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็อาจจะเข้าใจผิดหรือเจตนาไม่รู้ก็ไม่ทราบ ซึ่ง ครม.เข้าใจผิดว่าปี 2020 เรื่องการย้ายกัญชาจากประเภทที่ 4 ไปอยู่ประเภทที่ 1 คือเป็นประเภทยาเสพติดร้ายแรง แต่อนุโลมให้ใช้ทางการแพทย์และวิจัยเท่านั้น จะมาสูบ เสพ ขายตามถนนไม่ได้ เพราะถือเป็นการสันทนาการ และมีกฎหมายอื่นควบคุมอีกหลายมาตรา แต่เมื่อไทยมีการปรับในปี 2563 ประชาชนเข้าใจผิดว่ารัฐสภาไทยเห็นดีเห็นงามปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดนั้นไม่ใช่ ที่จริงรัฐสภาไม่ได้ปลด แต่คนปลดคือรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขจนมีผลทำให้วันที่ 9 มิถุนายน 2565 กัญชาถูกปลดปล่อยไม่เป็นยาเสพติด ท่านละเมิดกติกาโลก เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติด ส่วนมติของสภาคือให้กระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาหากจะเพิกถอนใดๆ ให้เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข

“ดังนั้น อย่ามาโยนความผิดให้สภา ส่วนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชากัญชงที่เรายกมือทั้งสภานั้น เพราะท่านปลดล็อกแล้วแต่ไม่มีอะไรควบคุม เราก็เรียกร้องให้มีกฎหมายควบคุม ไม่มีทางเลือกก็ต้องยกมือให้ วันนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในชั้น กมธ. พวกตนก็ตามตลอด วันนี้กระทรวงสาธารณสุขเลยเถิดไปถึงอุตสาหกรรมและสันทนาการ ที่ผ่านมาหลายคนท้วงติงมาตลอดแต่น้ำท่วมปากเขา เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตนขอถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าเรื่องอนุสัญญาดังกล่าวจะทำอย่างไร ที่ต้องดันให้เสร็จเพราะกลัวพรรคร่วมถอนตัวหรือไม่” นายสุทินกล่าว

Advertisement

นายสุทินกล่าวต่อว่า กัญชามีประโยชน์แต่ก็มีโทษ ต้องชั่งน้ำหนักว่าถ้าปล่อยกัญชาเสรีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น แม้จะมีร่าง พ.ร.บ.ออกมาก็ยังไม่ได้ควบคุม เพราะยังให้เสพเสรีอยู่ และไม่มีมาตรการแยกสารสกัดที่ชัดเจน การที่บอกว่าเราจะรวยเพราะกัญชาต้องตั้งหลักดูดีๆ เจตนาดีแต่ตนคิดว่าไม่ใช่ และถามว่าปลูกแล้วจะไปขายที่ไหน วันนี้ทั่วโลกถือเป็นยาเสพติด พกไปโดนจับทันที ถ้ามาทำเป็นยาโอเค แต่มาตรา 23 ของอนุสัญญาระบุว่าการที่ปลูกกัญชามาแปรรูปทำอุตสาหกรรมยาต้องมีองค์กรเฉพาะควบคุมเพื่อกำหนดโซนนิ่ง และนำเสนอรายงานเพื่ออนุญาตให้ใครปลูกเท่าไหร่ จึงจะขายเพื่อนำไปแปรรูปเป็นยาได้ จะมาขายตามตลาดไม่ได้ หลายคนตื่นตัวไปทำกัญชาระดับประเทศ ตนก็เห็นใจเพราะมันไม่ง่าย การปลูกกัญชาเพื่อแปรรูปเป็นยาส่งออกนอกประเทศไม่ง่าย

ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวต้องกำหนดยุทธศาสตร์ว่าจะขายอะไร กลุ่มเป้าหมายคือใคร หากจะเอากัญชาเป็นจุดขายก็ได้ขี้ยามาแทน เกิดปัญหาสังคมตามมา กัญชาจะบานทั่วประเทศ เด็กเสพได้ แต่ห้ามซื้อ ผู้ปกครองวิตกว่าจะกันเด็กออกจากกัญชาได้เหรอ เพราะห้ามนำมาโรงเรียน แต่ที่บ้านกลับปลูกได้ การแก้ปัญหาเด็กถ้าที่บ้านอ่อนแอก็แก้ไม่ได้ เพราะวันนี้ปล่อยกัญชาเสรีที่บ้าน ไปเสพติดครัวเรือน เราต้องป้องกันให้กัญชาเป็นยาเสพติดออกห่างเยาวชน อย่างไรก็ตาม ตนเป็นห่วงภาพพจน์และเกียรติภูมิของประเทศ หากหลับตาลงเป็นนครกัญชา ถามว่าอะไรจะเกิดขึ้น นี่คือผลประโยชน์ทางการเมือง

“มีข่าวลือว่ามีนักการเมืองใหญ่ข้ามไปทำไร่กัญชาที่ประเทศลาว และมีบริษัทยักษ์ใหญ่วางระบบธุรกิจไว้หมด มีการวางแผนไว้ก่อนทำ และมีบริษักยักษ์ใหญ่ประเทศญี่ปุ่นแอบมาตกลงกับนักการเมืองไทยด้วย มีข่าวเครือซิโน-ไทยลุยธุรกิจกัญชง ผมก็เข้าไปดูว่าใช่หรือไม่ และพบว่าไม่ใช่ข่าวโคมลอย เพราะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ คนถือหุ้นเยอะคือครอบครัวชาญวีรกูล แต่รัฐมนตรีเขาก็แสดงทรัพย์สินแล้วว่าโอนหุ้นไปหมดแล้ว ส่วนจะบริหารทางอ้อมอย่างไรผมไม่รู้ ที่ผมพูดมาทั้งหมดหากนายกฯไม่เห็นด้วยให้ทำเรื่องกัญชาเสรีก็ไม่สำเร็จ และถามว่าธุรกิจเหล่านี้เชื่อมโยงกัญชงกัญชาอย่างไร รัฐบาลแจกกล้าต้นกัญชา ผมและพรรคเพื่อไทยไม่ได้คัดค้าน แต่นโยบายไม่มีปัญหา ต้องอยู่กรอบการแพทย์และวิจัย เราสามารถทำได้โดยไม่มีผลกระทบ โดยเอาคงไว้ในบัญชียาเสพติด ส่วนวิสาหกิจชุมชนต้องทำโรงเรือน ขอให้ศึกษาดีๆ ก่อนเดินหน้าเพื่อความปลอดภัย ผมจึงขอไม่ไว้วางใจให้นายอนุทิน และนายกรัฐมนตรีอยู่บริหารประเทศชาติต่อไป เพราะแค่นี้ก็ขนหัวลุกแล้ว และยังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ถามว่านายกรัฐมนตรีไปไหน เรื่องที่พูดนี้ใหม่หมด จะปล่อยนายอนุทินนั่งฟังคนเดียวไม่ได้ ขอให้คิดกันให้ถ้วน” นายสุทินกล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งนายสุทินได้เปิดคลิปวิดีโอขณะที่นายอนุทินกล่าวปราศรัยหาเสียงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงหนึ่งถึงเรื่องนโยบายกัญชาเสรีว่า “เราจะเปลี่ยนงบลับต่างๆ ให้เป็นงบลงทุน จะเปลี่ยนเสียงปืนเป็นเสียงเครื่องจักรและเสียงหัวเราะของทุกคน ที่พรรคภูมิใจไทยจะให้พ่อแม่พี่น้องปลูก กัญชาเป็นยาพารวย เป็นยารักษาโรค พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าวันนี้กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป ปลูกได้บ้านละ 6 ต้น เมื่อปลูกแล้วสามารถนำไปขาย ปรุงอาหาร รักษาโรค และพี้สูบกันเองได้ แต่อย่าพกพาไปที่อื่นเด็ดขาด” พร้อมทั้งเปิดภาพประชาชนกำลังสูบกัญชาจากบ้องอย่างเสรี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image