‘สมชัย’ ลุกแทน 6 หมื่นชื่อ ชงรื้อ ม.272 ส.ว.โหวตนายก บอกได้พอแล้ว ไม่ต้องรอถึง 5 ปี

‘สมชัย’ ลุกแทน 6 หมื่นชื่อ ชงรื้อ ม.272 ส.ว.โหวตนายก บอกได้พอแล้ว ไม่ต้องรอถึง 5 ปี 

เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภา มี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับ โดย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย และเป็นอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะคณะผู้รณรงค์แก้ไข ม.272 ได้ลุกเสนอหลักการและเหตุผลร่าง รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 272 ตัดอำนาจ ส.ว.ในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 64,151 คน เป็นผู้เสนอ ตอนหนึ่งว่าเราขอแก้ไขมาตราเดียว คือมาตรา 272 ที่อยู่ในบทเฉพาะกาล ซึ่งประกอบด้วย 2 วรรค คือการให้อำนาจ ส.ว.ร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ในช่วง 5 ปีแรกของรัฐสภาปัจจุบัน โดยขอตัดข้อความวรรคแรกทั้งหมดทิ้งไป และขอเปลี่ยนแปลงข้อความในวรรคที่สอง กรณีที่ประชุมไม่สามารถประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนำเสนอได้ ก็ใช้ทางออกให้มีนายกรัฐมนตรีคนนอก โดยใช้กฎเกณฑ์กติกาแบบเดิมคือใช้เสียงที่ประชุมรัฐสภา 2 ใน 3 ยกเว้นการใช้ชื่อในบัญชีของพรรคการเมือง จากนั้นคืนกลับสู่ที่ประชุมสภาฯ เพื่อลงมติเลือกนายกฯคนนอกอีกครั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมากในสภาฯ

“เชื่อว่าการแก้ไขรัรฐธรรมนูญดังกล่าวจะเป็นทางออกของประเทศ เพราะจะทำให้สมาชิกุฒิสภาคงความเป็นกลางทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 เพราะเมื่อใดก็ตามที่ ส.ว.เลือกคนของพรรคการเมืองใดสักคนเป็นนายกฯ ประชาชนก็จะเข้าใจว่าท่านมีแนวโน้มสนับสนุนพรรคการเมืองนั้นๆ รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งจะได้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยู่ภายใต้การพิจารณาว่า ส.ว.จะลงมติเลือกใครหรือ จะจับมือกับพรรคการเมืองใด รวมถึงเพื่อเสริมสร้างเกียรติภูมิของรัฐสภา” นายสมชัยกล่าว

นายสมชัยกล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นโต้แย้งฝ่ายต่างๆ ที่เห็นว่าไม่ควรแก้ไขนั้น โดยระบุว่า การให้ ส.ว. ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปตามการออกเสียงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 หากจะแก้ไขใหม่ ต้องทำประชามตินั้น เรื่องนี้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 256 (8) กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องประชามติเพียงแค่ 3 กรณีคือ 1.การแก้หมวด 1 หมวด 2 2.แก้เรื่องวิธีการแก้รัฐธรรมนูญ และ 3.แก้เกี่ยวกับคุณสมบัติและอำนาจหน้าที่ ศาล องค์กรอิสระเท่านั้น และการเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว.ที่ระบุว่าเลือกภายใน 5 ปีแรก อีกไม่นานก็จะหมดเงื่อนไขแล้วนั้น ตนมองว่า ทุกปีมีความหมาย การเลือกนายกรัฐมนตรีต้องเป็นไปด้วยความสง่างาม ไม่จำเป็นต้องรอ 5 ปี ส่วนให้นายกรัฐมนตรีทำงานตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาประเทศ หากติดตามการประชุมที่ผ่านมาทุกอย่างจบแล้ว มีผลงานเป็นที่พึงพอใจแล้ว ดังนั้น ไม่ได้หมายความว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป จะเป็นประโยชน์ต่อยุทธศาสตร์ชาติ

“การที่มีนายกรัฐมนตรีมีส่วน ส.ว.เลือก จะเป็นการสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม การลงมติงดออกเสียงในร่างกฎหมายนี้ ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นกลาง แต่เป็นการไม่ประสงค์ให้ร่างนี้ ได้ผ่านการรับหลักการวาระที่ 1 การลงมติของสมาชิกรัฐสภา ในวันที่ 6 กันยายน เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ประเทศจะเดินต่อไปทิศทางไหนขึ้นอยู่กับการลงมติของท่าน” นายสมชัยกล่าว

Advertisement

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image