ทูตรัศม์ ได้ข้อมูลใหม่ ไทยงดออกเสียง ประณามรัสเซีย เพราะอยากเอาใจ ให้ปูตินมาเอเปค
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์มติงดออกเสียงของไทย 1 ใน 35 ประเทศ ในญัตติประณามรัสเซียต่อความพยายามในการผนวก 4 ดินแดนยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา
ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ไทย งดออกเสียงยูเอ็น ลงมติประณามรัสเซียผนวก 4 แคว้นยูเครน อีก 143 ชาติเห็นด้วย
- เปิดเหตุผล ‘ไทย’ งดออกเสียง ประณามรัสเซียใน UNGA
- ทูตนอกแถว ฉะน่าอับอาย ไทย ‘งดออกเสียง’ ประณามรัสเซีย หากเอาใจยิ่งน่าอเนจอนาถ
ล่าสุด (15 ต.ค.) นายรัศม์ ชาลีจันทร์ เจ้าของเพจ ทูตนอกแถว อดีตเอกอัครราชทูตไทย ได้เขียนถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า “สืบเนื่องจากโพสต์ของผมเมื่อวันก่อนเรื่องที่ไทยงดออกเสียงประณาม การผนวกดินแดนของยูเครนโดยรัสเซียในสหประชาชาติ ซึ่งผมได้แสดงความผิดหวังต่อบรรดาข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่มีส่วนในการนี้นั้น
พอดีผมได้รับข้อมูลมาจากหลายแหล่งอีกทีว่า เรื่องนี้เป็นการสั่งการมาโดยตรงจากฝ่ายการเมือง โดยอ้างผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ในขณะที่ฝ่ายข้าราชการประจำ ไม่ว่าระดับกรมหรือที่ประจำการที่นิวยอร์ก ได้เสนอแล้วว่า ให้ไทยออกเสียงสนับสนุนร่างมติดังกล่าวของสหประชาชาติ
เรื่องนี้แม้ผมไม่อาจยืนยันได้ทั้งหมด (เพราะไม่ได้เห็นตัวลายแทงคำสั่งของคนสั่งการกับตาตนเอง แต่เท่าที่ทราบมีอยู่จริง) แต่ผมขอเลือกที่จะเชื่อว่าเป็นความจริง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะลักษณะการร่างคำอธิบาย โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษที่ใช้ภาษาได้แย่และไม่มีตรรกะเหตุผล อย่างที่มืออาชีพพึงเขียน
(ซึ่งก็เป็นรูปแบบเดิมๆ ของคนที่ปรึกษาใกล้ชิดของผู้บริหารกระทรวงฯ ตั้งแต่ที่ไปลอกสปีชของ ปธน. โอบามา มาให้ลุงยามอ่านจนเป็นที่ตลกขบขันไปทั่ว ไปจนถึงการร่างแถลงการณ์เรื่องรัฐบาลทหารพม่าประหารชีวิตสี่นักเคลื่อนไหว ที่ใช้ศัพท์แสงที่เขาไม่ใช้กันและผิดความหมาย ซึ่งสร้างความอิดหนาระอาใจให้ฝ่ายข้าราชการประจำตลอดมา)
และมาถึงตอนนี้มันยิ่งดูชัดเจนว่าเหตุผลที่ไทยงดออกเสียงนั้น มันไม่ใช่เรื่องความต้องการวางตัวเป็นกลางของไทยอะไร แต่คือแค่ต้องการเอาใจรัสเซียเพื่อหวังให้ ปธน.ปูตินมาร่วมเอเปคแค่นั้นเอง
ซึ่งมันน่าอนาถใจมากที่เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติในเวทีโลก ไปแลกกับสิ่งนี้เพียงเพื่อฝ่ายบริหารจะได้หน้าจากการมาร่วมประชุมเอเปคของปูติน
แต่ทั้งนี้ อย่างน้อยผมก็ยังรู้สึกดีใจ และภูมิใจที่ฝ่ายข้าราชการประจำของกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงความเป็นมืออาชีพและยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้องในการพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศชาติ
จึงเรียนมาเพื่อทราบกัน
และตอนนี้ก็ด่ากันได้ถูกตัวแล้วนะครับ”