“ชวน” ชี้ “เพื่อไทย” ต่อรองเก้าอี้ประธานสภาไม่ใช่เรื่องแปลก เหตุคะแนน ส.ส.ใกล้กัน ไม่เหมือนในอดีต

“ชวน” ชี้ “เพื่อไทย” ต่อรองตำแหน่งประธานสภาไม่ใช่เรื่องแปลก เหตุคะแนน ส.ส.ใกล้เคียงกัน ไม่เหมือนที่ผ่านมา อันดับ 1 เป็นรัฐบาล อันดับ 2 เป็นฝ่ายค้าน ย้ำหน้าที่ประธานต้องเป็นกลาง ทำตามอำเภอใจไม่ได้ แจงข้อเท็จจริงไม่บรรจุ กม.แก้ ม.112 ของก้าวไกล เพราะขัด รธน.

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. เวลา 11.35 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภาและอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงคุณสมบัติของประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ว่า ขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมสภา เพราะตามปกติพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมาก จะได้เป็นประธานสภา ซึ่งแตกต่างจากครั้งที่แล้ว ซึ่งตนได้ทำหน้าที่เป็นประธานสภา เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเต็มใจ และไม่หักโควต้ารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเหตุผลที่ตนรับทำหน้าที่ เพราะเห็นว่าก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ไม่มีสภามา 5 ปี จึงรับหน้าที่เป็นประธานสภา แม้หลังเลือกตั้งใหม่ มีการประเมินว่าสภาอยู่ได้เพียง 1-2 ปี แต่ด้วยความร่วมมือจากสมาชิก ทำให้สามารถอยู่จนครบ 4 ปี และทำหน้าที่ได้สมบูรณ์​

นายชวนกล่าวต่อว่า สำหรับตำแหน่งประธานสภา โดยทั่วไปถ้าเราย้อนกลับไปพรรคที่เป็นรัฐบาลจะมีเสียงข้างมาก ก็จะได้รับตำแหน่งประธานสภาและนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อรายละเอียดพรรคที่มีเสียงใกล้เคียงกับรัฐบาลจะได้เป็นฝ่ายค้าน เช่น กรณีพรรคความหวังใหม่ ได้ 125 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ได้ 123 เสียง ห่างกัน 2 เสียง แต่ทั้ง 2 พรรคไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน

ดังนั้นพรรคความหวังใหม่ก็ตั้งประธานสภาและนายกรัฐมนตรีเอง โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน จึงไม่มีประเด็นการต่อรองตำแหน่งประธานสภา แต่ในกรณีที่มีการถกเถียงคะแนนของพรรคที่มาร่วมรัฐบาล มีความใกล้เคียงกัน คือ 151 กับ 141 จึงเป็นประเด็นใหม่ ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทยเสนอขอเป็นประธานสภา จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคะแนนไม่ห่างกันมาก

Advertisement

ส่วนที่จะใช้ตำแหน่งประธานสภาทำประโยชน์ให้พรรคการเมืองตัวเองนั้น นายชวนกล่าวว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด ดังนั้นขอให้ไปศึกษารัฐธรรมนูญและข้อบังคับสภาดูว่าประธานสภามีหน้าที่อะไรบ้าง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ประธานสภาสามารถเปลี่ยนชื่อนายกรัฐมนตรีได้ แต่ปัจจุบันเขาลงมติกันในสภา เมื่อสภาเลือกใคร ประธานสภาจะไปทำอย่างอื่นไม่ได้ และมีหน้าที่นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯเท่านั้น เพราะโดยทั่วไปตามข้อกำหนด ประธานสภาต้องเป็นกลาง

สมมุติเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ก็ต้องลาออก เพราะเขาต้องการประธานที่มีความเป็นกลาง และต้องเข้าใจกฎหมายจะไปทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ แม้แต่จะถ่วงเวลาก็ไม่ได้ เพราะแต่ละเรื่องมีกำหนดเวลาไว้อยู่แล้ว และในทางปฏิบัติเขาจะร่วมมือกัน และต้องมองความเป็นจริงว่าใครมาเป็นประธานสภาก็ตามต้องพยายามรักษาความเป็นกลางไว้ ส่วนเรื่องคุณสมบัติและความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับแต่ละฝ่ายที่จะเสนอ แต่ไม่มีข้อวิจารณ์เรื่องความเหมาะสม

นายชวนกล่าวต่อว่า อีกส่วนคือกรณีที่พรรคก้าวไกลพยายามเสนอกฎหมายยกเลิกมาตรา 112 ขอถือโอกาสเรียนข้อเท็จจริงว่า ข้อมูลที่ออกมาพูดกันอาจจะคลาดเคลื่อน เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริง เพราะในสภายุคที่ตนเป็นประธาน การทำหน้าที่ของประธานและรองประธานสภา มีการแบ่งหน้าที่กัน โดยนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาคนที่หนึ่ง รับผิดชอบร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอเข้ามายังสภาทุกฉบับ จะเห็นชอบไม่ชอบอย่างไรก็จบ โดยไม่ได้ผ่านประธานสภา ขณะที่นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาคนที่ 2 จะดูเรื่องญัตติและกระทู้ถาม นี่คือกระบวนการกระจายอำนาจ

Advertisement

“ดังนั้นร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอยกเลิกมาตรา 112 จะมีนายสุชาติเป็นผู้ดูแล และจากการปรึกษาฝ่ายกฎหมายของสภาพบว่าขัดรัฐธรรมนูญ คือสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้ใดระเมิดไม่ได้ ซึ่งท่านสุชาติรอบคอบมาก และนอกเหนือจากฝ่ายกฎหมายแสดงความคิดเห็นแล้ว ท่านยังให้ผ่านกระบวนการประสานงานที่ประกอบด้วย ฝ่ายกฎหมายทุกฝ่ายของสภาอีกครั้ง ซึ่งทุกคนยังมีความเห็นสอดคล้องกันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้นายสุชาติไม่ได้บรรจุในวาระ และส่งกลับไปยังพรรคก้าวไกลเพื่อแก้ไข นี่คือที่มา จึงยืนยันได้ว่าไม่มีการกลั่นแกล้ง เพราะมาไม่ถึงผม แต่จากที่พิจารณามองว่า ท่านสุชาติใช้ดุลพินิจถูกแล้ว จึงขอให้เข้าใจเรื่องนี้ว่า ที่มาวิจารณ์หรือตำหนิอาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริง” นายชวนกล่าว

 

 

อ่านข่าวน่าสนใจ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image