กกต.ปกรณ์ เย้ย ‘…มีไว้ทำไม เลือกนายกฯได้ยัง’ ประกาศผลแล้ว 2 เดือน เผยยินดีรับกระสุน

กกต.ปกรณ์ ร่วมแจมเวที ‘กกต.มีไว้ทำไม’ พร้อมรับกระสุน-รถทัวร์ ย้อนถาม ‘… มีไว้ทำไม นายกฯได้แล้วหรือยัง?’ หลังประกาศผลเลือกตั้งมาแล้ว 2 เดือน

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 18 สิงหาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายปกรณ์ มหรรณพ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมานั่งสังเกตการณ์เวทีอภิปรายหัวข้อ “กกต. มีไว้ทำไม” ของหลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่นที่ 13 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งกล่าวชี้แจงบทบาทหน้าที่การทำงานของ กกต.ว่า การเลือกตั้งปี 2562 กับปี 2566 กกต.สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ก่อนเวลา ซึ่งปี 2562 มีปัญหาเกี่ยวกับบัตรเขย่งจำนวนมาก ปัญหาคะแนนเขย่ง มีปัญหาเกี่ยวกับการประกาศผลหน้าหน่วยเลือกตั้ง การมารวมคะแนนการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร และเลือกตั้งล่วงหน้าที่เขต แต่ปี 2566 ไม่มีปัญหาดังกล่าว แต่อาจมีปัญหาเรื่องนับผิดพลาด จำนวน 40 หน่วย จาก 9 หมื่นกว่าหน่วย แสดงว่า กกต.ได้พัฒนาและแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น

นายปกรณ์กล่าวว่า ส่วนการเลือกตั้งปี 2566 กกต.สามารถดำเนินการตามระยะเวลาที่กำหนดถูกต้อง กกต.ใช้พนักงาน 1 ล้านคน ใช้งบประมาณ 6,000 ล้านบาท ส่วนที่พูดกันมากว่า กกต.มีไว้ทำไม ใช้เงินไป 6,000 พันล้าน โดย กกต.นำไปใช้ในการบริหาร คิดว่าไม่มีประโยชน์ต้องไปทำความเข้าใจกับคนที่มีอคติกับ กกต.

นายปกรณ์กล่าวอีกว่า ส่วนการพิมพ์บัตรเลือกตั้งนั้น กฎหมายกำหนดให้ กกต.การจัดพิมพ์บัตรโหล ขณะที่การแบ่งเขตเลือกตั้ง กกต.ถูกฟ้อง 5 สำนวน ศาลปกครองมีคำพิพากษาว่า กกต.ทำตามกฎหมาย และหลังการเลือกตั้ง กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน ขณะนี้ผ่านไปเกือบ 2 เดือนหลังประกาศผล ก็อยากจะถามว่า “…มีไว้ทำไม เลือกนายกฯได้แล้วหรือยัง”

ADVERTISMENT

นายปกรณ์กล่าวต่อว่า กรณีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าต้องยืนยันหลักฐานแน่ชัดว่าในปี 2562 ไม่มีการแจ้งจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่าถือหุ้น อันนี้คือประเด็นที่ต้องพิจารณาว่านายพิธาถือหุ้นในฐานะอะไร เช่นเดียวกับ อดีต ส.ส.ระยอง พรรคก้าวไกล ได้ตรวจหลักฐานจากศาลจังหวัดชลบุรีไม่มีคำพิพากษาว่ากระทำความผิด เหตุเกิดเมื่อปี 2542 ทะเบียนประวัติมี ปี 2543 เป็นปีที่ตั้งศาลพัทยา จึงได้สอบถามไปศาลพัทยาเพื่อความถูกต้อง ซึ่งตอบตอบกลับมาว่าไม่มี กกต.มีหลักฐานทุกอย่าง ทำตามกฎหมายทุกอย่าง เมื่อไม่มี กกต.ต้องประกาศรับรองไป แต่ภายหลังปรากฏ กกต.ก็ดำเนินการตามกฎหมายทันที

“นี่คืออยากจะชี้ให้เห็นว่าเรายินดีรับกระสุน เรายินดีเตรียมน้ำไว้สำหรับรถทัวร์ และอีกอย่างที่อยากจะชี้แจงคือกรณีที่ จ.นครนายก แม้ศาลฎีกาจะพิจารณาว่าไม่มีอำนาจครอบงำสื่อ จากการถือหุ้นเพียง 400 หุ้น เป็นดุลพินิจ ถามว่าทำไมรัฐธรรมนูญไม่กำหนดเรื่องครอบงำไว้ จะไปกำหนดภายหลังในเรื่องการมีส่วนได้เสีย ถ้ากฎหมายกำหนดเรื่องครอบงำไว้ เราจะวินิจฉัยง่าย แต่ความที่ กกต.ให้ความเคารพและยอมรับศาลฎีกา

“เมื่อท่านถือว่าต้องครอบงำ เราก็เคารพ แต่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งผูกพันทุกองค์กร เคยวินิจฉัยว่าถือหุ้นเพียง 1 หุ้นก็ผิด นี่คือสิ่งที่เป็นความขัดกันของ 2 ศาล ถ้าท่านลักทรัพย์ เอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นถือร่วมอยู่ด้วยโดยทุจริต ท่านผิดฐานลักทรัพย์ แต่กรณีที่หญิงต้องไปลักของในห้างเพื่อลูก ลักนม ผิด แต่ศาลใช้ดุลพินิจที่จะลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเหมือนกัน ในเมื่อกฎหมายบอกว่าถือหุ้นสื่อแล้วผิด ข้อเท็จจริงว่าผิด ก็ต้องพิพากษาว่าผิด แต่จะใช้ดุลพินิจเรื่องโทษอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายสบายใจ” นายปกรณ์กล่าว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง