ผบก.ตม.2 ยันพร้อมแก้ปัญหาผู้โดยสารเข้า-ออกประเทศ เสริมกำลังพล ใช้เทคโนโลยีช่วยลดขั้นตอนตรวจคน ขานรับนโยบายนายกฯอำนวยความสะดวกผู้เดินทาง ดัน ‘สุวรรณภูมิ’ เป็นสนามบินติด 1 ใน 50 ของโลก
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 (ผบก.ตม.2) และโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมรับมือระบบตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีคนเดินทางจำนวนมากว่า โชคดีที่นายกรัฐมนตรีลงมาตรวจสอบด้วยตัวเอง ได้เห็นการทำงานจริงและชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าหน้าที่ โดยเป้าหมายที่นายกฯได้วางไว้คือยกระดับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ 50 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ภายในเวลา 1 ปี ดังนั้น การบ้านที่ ตม.2 ได้รับ เป็นโจทย์ที่ต้องเร่งขับเคลื่อนและทำให้สำเร็จ
พล.ต.ต.เชิงรณกล่าวว่า เราเริ่มกระบวนการมาตั้งแต่ปลายปี 2566 ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าภายใต้ข้อจำกัดคือ เรื่องกำลังพล เพราะกำลังพลของตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินถูกย้ายออกไป 40% เมื่อนายกฯมารับทราบปัญหาได้รับการสนับสนุนเรื่องนี้ และก่อนถึงช่วงเดือน เม.ย.ก็จะได้รับการสนับสนุนกำลังพล 200 คน ที่จะลงพื้นที่เริ่มปฏิบัติงานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และในระยะต่อไปจะรับเพิ่ม 330 คน จึงขอเชิญชวนบุคคลภายนอกที่สนใจเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ โดยจะเริ่มเปิดรับสอบในช่วงเดือน เม.ย.นี้ และจะบรรจุได้ในช่วงเดือน มิ.ย.เพื่อเติมกำลังพล คิดว่าสามารถรองรับการตรวจผู้โดยสารขาเข้าได้จำนวนมาก ทำให้อัตราการไหลของผู้โดยสารเร็วขึ้น ตนให้ความมั่นใจว่า ตม.พร้อมขับเคลื่อนตามนโยบายนายกรัฐมนตรีเต็มที่
พล.ต.ต.เชิงรณกล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาในส่วนที่ 2 คือ เรื่องเทคโนโลยีที่มีผู้ให้บริการหลายเจ้า ดังนั้น การทำงานให้เป็นระบบเดียวจึงมีความยาก ขณะนี้ ตม.ได้ออกแบบ โครงการ Thailand Immigration system พัฒนาระบบ ตม.ให้เหลือระบบเดียว ทำงานควบคู่กันในการตรวจคนเข้าประเทศ การออกวีซ่า การขอพำนักในประเทศ การเดินทางออกและระบบตรวจบุคคลต้องห้ามให้เป็นระบบเดียว ให้เกิดความเสถียรในการทำงานและพัฒนาไปสู่อนาคต
“เช่น บางสนามบินการเดินทางออกอาจไม่ต้องผ่าน ตม. แต่จะใช้ระบบประมวลผลตรวจสอบของสายการบิน แต่เรื่องนี้ยังเป็นการทำงานระยะยาวที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ในระยะสั้นนี้ ตม.ใช้ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2555 และสามารถตรวจชาวต่างชาติได้ แต่เครื่องมีจำกัดประมาณ 18 เครื่อง โดยในช่วงเดือน ก.ค. บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จะสนับสนุนอุปกรณ์จัดซื้อเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ โดยเฉพาะขาออกนอกประเทศ ประมาณ 50 เครื่อง และขณะนี้ได้หารือกับศูนย์เทคโนโลยีตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงฝ่าย ทอท.แล้ว” ผบก.ตม.2 ระบุ
นอกจากนั้น ผบช.สตม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวคิด ที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ที่จะนำมาตรวจคนเข้าเมืองให้เร็วขึ้น ไบโอแมทริกซ์ หรือการเก็บลายนิ้วมือ ใบหน้า เพื่อยืนยันตัวบุคคล ลดขั้นตอนไม่ต้องเสียเวลาหน้าเครื่องตรวจ โดยมีการออกแบบระบบลงทะเบียนล่วงหน้าในระยะเร่งด่วน เช่น การตั้งอุปกรณ์ หรือโน๊ตบุ๊ก ก่อนที่จะเข้าช่องตรวจ ตม. ส่วนงบประมาณใดจะมาจากส่วนใดนั้น จาก ทอท. หรือค่าธรรมเนียมของ ตม. ซึ่งก็ต้องมาหารือกัน
พล.ต.ต.เชิงรณกล่าวถึงการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและไม่กระทบกับความมั่นคงเพื่อลดระยะเวลา เช่น การเดินทางออกนอกประเทศว่า อาจไม่ต้องเก็บลายนิ้วมือ เนื่องจากมีประวัติอยู่ในฐานข้อมูล ก็จะทำให้ออกได้เร็ว เหลือพื้นที่สำหรับรองรับขาเข้า ส่วนต่างชาติที่เดินทางออกนอกประเทศก็จะโชว์อยู่ในระบบบันทึกข้อมูลอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาประทับตรา สำหรับการเดินทางเข้าประเทศ เจ้าหน้าที่ไม่ต้องเสียเวลาคีย์ข้อมูล โดยจะต้องแก้ไขโปรแกรมเพื่อรองรับตรงนี้ ซึ่งจะดูว่าตัวบุคคลกับหนังสือเดินทางตรงกันหรือไม่ มีสิทธิเข้าประเทศหรือไม่ ติดแบล๊กลิสต์ หรือมีหมายจับหรือไม่ ถ้าไม่มี 3 อย่างนี้ก็ตี เข้าได้เลย จะลดทำให้ลดเวลาได้ประมาณ 15 วินาที
ผบก.ตม.2 กล่าวด้วยว่า มาตรฐานในการตรวจคนเข้าเมืองไม่เกิน 45 วินาทีต่อคน เนื่องจากมีทางหลักช่องทางเดียว ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ในการเดินทางเข้า จะมีการกระจุกตัวประมาณ 5,000 คน ในขณะที่โถงรองรับได้ 2,000 คน จึงต้องใช้ขั้นตอนตรวจให้เร็ว อยู่บนหลักของความมั่นคง ไม่ให้นำคนไม่ดีเข้าประเทศ และประชาชนจะเดือดร้อน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง