กัณวีร์ตัดเกรด รบ.สอบตก ทำการทูต 3 หลง แนะประกาศจุดยืน แทรกแซงแบบสร้างสรรค์

‘กัณวีร์’ ตัดเกรด ‘รัฐบาล’ สอบตกทุกเรื่อง ทำการทูต 3 หลง ลั่นไทยต้องเปลี่ยนเป็นการแทรกแซงแบบสร้างสรรค์ จะทำให้มีจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศสามารถยืนอย่างเปิดเผยไม่อายใคร

เมื่อวันที่ 4 เมษายน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เป็นวันที่สอง

จากนั้นเวลา 18.00 น. นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายว่า รู้สึกเศร้าใจและผิดหวังในการดำเนินงานด้านการทูตของรัฐบาลชุดนี้ ที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยพูดว่ารัฐบาลมองไปข้างหน้า แต่การดำเนินนโยบายต่างประเทศยังไม่ก้าวข้ามสิ่งในอดีต และยังใช้นโยบายการต่างประเทศตั้งแต่สมัยสงครามเย็น

นายกัณวีร์กล่าวว่า วันที่นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตนพยายามจับคำแถลงนโยบายด้านการต่างประเทศ แต่กลับมองไม่เห็น พบว่าแอบอยู่ในทุกส่วน รัฐบาลชุดนี้ยังมองไปข้างหลัง เนื่องจากนโยบายการต่างประเทศของนายเศรษฐาเน้นแต่เรื่องการค้า การลงทุน ความมั่นคง ซึ่งใช้มาแล้วกว่า 100 ปี โดยนโยบายการต่างประเทศที่จำเป็นในปี 2567 คือนโยบายจุดยืนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และการส่งเสริมสันติภาพ

Advertisement

นายกัณวีร์กล่าวอีกว่า การจะพัฒนาบริการทุกขั้นตอนเพื่อสร้างประตูสู่ประเทศไทย เศรษฐกิจการค้าชายแดน การสร้างเงิน สร้างงาน สร้างรายได้ สนับสนุนตลาดทุนเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน เศรษฐกิจเชิงรุกเป็นเซลส์แมนไปเรื่อยๆ แต่ทุกเรื่องแอบซ่อนอยู่ จึงมองไม่เห็นว่าเดินข้างหน้าไปอย่างไร

นอกจากนี้ นายกัณวีร์ได้อภิปรายขยายความ การทูต 3 หลง หลงแรกคือ หลงผิด (เวลา) เมื่อวันที่ 20 พ.ย.66 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เรียกเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกมาประชุม มอบโอวาทแจ้งนโยบาย บอกว่าต่อไปประเทศไทยต้องดำเนินนโยบายดังนี้ “นโยบายต่างประเทศเป็นส่วนต่อขยายของนโยบายภายในประเทศ” ซึ่ง ชาร์ล เดอ โกล ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เคยพูดไว้ตั้งแต่ 70 ปีที่แล้ว ท่านบอกว่าประเทศไทยอยู่แค่ตรงกลาง เรามองไปที่การทูตเชิงรุก มองไปข้างหน้า แต่ไม่ยอมมองว่าข้างนอกเป็นอย่างไร

“หลงทาง” การกลัดกระดุมเม็ดแรกที่ผิดพลาดมองว่านโยบายภายในประเทศต้องออกไปข้างนอก จึงสร้างบันได 5 ขั้นของการทูตปานปรีย์ ประกอบด้วยเชิงรุกมองไปข้างหน้าแต่แท้ที่จริงยังย่ำอยู่ข้างหลัง, ตอบสนองผลประโยชน์ภายใน, มีเกียรติภูมิที่มีความหมาย, บทบาทโดดเด่นยกระดับเศรษฐกิจและตอบสนองผลประโยชน์ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี แต่ยังไม่พอ เพราะรัฐบาลเศรษฐามองจากวงแคบไปสู่วงกว้าง เน้นแต่เรื่องการค้า การลงทุน ตอบโจทย์ไม่ได้

Advertisement

“หลงตนเอง” ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง เรียกว่าการทูตเน้นตนเองพื้นที่ปลอดภัย (Self-Focused Diplomacy) เน้นแต่ความมั่นคงของตนเอง มองแค่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน เราจะขายของอย่างไร เดินไปประเทศอื่นแล้วจะขายของได้เท่าไร เราจำเป็นต้องมองนโยบายการต่างประเทศที่ถูกต้อง ทั้งการทูตสาธารณะ และการทูตสองด้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ ทั้งยังต้องมองความคาดหวังของเวทีระหว่างประเทศว่าต้องการอะไร

นายกัณวีร์กล่าวว่า ตนขอตัดเกรดรัฐบาลให้สอบตกทุกเรื่อง ระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมานายกฯเดินทางไปประเทศจีน เป็นเซลส์แมน ขอให้พิจารณาโครงการแลนด์บริดจ์ให้อยู่ใน BRI หรือเส้นทางสายไหม ซึ่งเส้นทางดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีระหว่างประเทศ มีปัญหาตั้งแต่เรื่องเงินกู้ ทำถนนโรงไฟฟ้า ท่าเรือ สะพาน รางรถไฟ อินเตอร์เน็ต 5G Fibre Optic และการวางท่อก๊าซ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาด้านการทูตแบบขุดหลุมติดกับดักด้วยหนี้ เกิดการคอร์รัปชั่น การแทรกแซงภายในประเทศ เงินกู้ดอกเบี้ยสูง และการสูญเสียอธิปไตยอำนาจทางเศรษฐกิจในประเทศ

“เรามีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไม่ถึงใจ ร่วมกันกดปราบผู้ลี้ภัยข้ามชาติดีกว่า เรามีผู้ลี้ภัยเข้ามาในประเทศ ซึ่งได้รับความคุ้มครองจากองค์การสหประชาชาติ ซึ่งกำลังจะเดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม แต่ปลายปีที่แล้วมีการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีการจับกุมนักกิจกรรมชาวกัมพูชาที่อยู่ในไทย บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าจับเขา

วีซ่าฟรีฉ่ำ ค้ามนุษย์ก็ฉ่ำ คนจีนได้ฟรีฉ่ำเข้ามาที่ประเทศไทย แล้วนั่งเครื่องบินไป อ.แม่สอด จ.ตาก แต่พอไปถึงหายไปที่ KK Place และชเวโก๊กโก่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ด่านต่าง ๆ ก็มี แต่คนจีนหายไป การทูตลู่ลม ไร้ราก จนปลิวไม่มีจุดยืน ประเทศไทยชอบอยู่กับสถานการณ์ที่รู้สึกว่าตนเองอยู่นิ่งๆ ดีกว่า มีลมมาตรงไหนก็เอนไปตรงไหน ยึดหลักการทูตสมดุล แต่แท้ที่จริงรัฐบาลเลือกข้างตลอดเวลา โดยยกตัวอย่างสถานการณ์อิสราเอล นายกรัฐมนตรีประณามเหตุโจมตีที่อิสราเอล การพูดเช่นนี้หรือที่เรียกว่าไม่เอนเอียง ไทยต้องเปลี่ยนเป็นการแทรกแซงแบบสร้างสรรค์ จะทำให้ประเทศไทยมีจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศ สามารถยืนอย่างเปิดเผยไม่อายใคร” นายกัณวีร์กล่าว

นายกัณวีร์กล่าวว่า หากรัฐบาลอยากมีจุดยืนทางการทูตอย่างสง่าผ่าเผย ต้องแสดงจุดยืนในการแก้ไขปัญหาในเมียนมา มองให้กว้าง ใช้ทุกองคาพยพในการแก้ปัญหา ไม่ควรยืนหยัดในหลักการไม่แทรกแซงของอาเซียน เราต้องแสดงจุดยืนเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหา การสร้าง Safety Zone ในประเทศเมียนมาโดยใช้กลไกทางทหาร ห้ามปฏิบัติการทางอาหารทั้งบนอากาศและพื้นดิน ทั้งหมดตนเองเคยพูดไปในสภา 3-4 ครั้ง แต่ทำไม่ได้

นายกัณวีร์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องระเบียงมนุษยธรรมถือว่าเริ่มต้นดีแล้ว แต่ต้องทำอย่างถูกต้อง ยึดหลักมนุษยธรรม มองเห็นความต้องการของคนเป็นหลัก ไม่เอนเอียง เป็นกลาง มีอิสรภาพในการทำงาน ซึ่งจะทำให้รัฐบาลทำงานด้านมนุษยธรรมโดยไม่ใช่การกุศล ทั้งยังต้องจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา 5 ประเทศ เพื่อสร้างระเบียงมนุษยธรรม และประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น หากทำแล้วท่านจะดูเด่น ดูดี ดูสวย ดูหล่อ ทั้งนี้ ว่าการทูตไม่ใช่แค่เรื่องของชนชั้นนำ แต่ต้องมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกคนด้วย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image