‘สมช.’ สรุปข้อมูลด้านความมั่นคง เสนอ กฟภ.-มท.พิจารณาตัดไฟ ควบคู่ตั้งกรรมการร่วม 2 ฝ่ายไทย-เมียนมา ตรวจสอบจุดมีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดน ย้ำต้องมีหลักฐานชัดเจนก่อนเสนอ ครม.ตัดไฟ เลขาฯสมช.ปัดไม่ได้โยนไปมา ยันจะดำเนินการให้เร็วที่สุด
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประมวลข้อมูลด้านความมั่นคงเพื่อส่งให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีตัวแทนจากกระทรวงมหาดไทย (มท.) กฟภ. กองทัพและหน่วยงานด้านการข่าวเข้าร่วม
เวลา 10.40 น. นายฉัตรชัยแถลงผลการประชุมว่า การประชุมวันนี้เป็นการกลั่นกรองข้อมูลด้านความมั่นคงที่เชื่อถือได้ ให้เกิดความรอบคอบยิ่งขึ้น ซึ่ง สมช.มีข้อมูลที่จะส่งให้กระทรวงมหาดไทยและกฟภ.อยู่แล้ว ซึ่งกระทรวงมหาดไทยขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ ค้ามุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อไปประกอบการพิจารณา วันนี้ที่ประชุมมีข้อมูลที่จะส่งให้กระทรวงหมาดไทย 6 ข้อให้เร็วที่สุด ตามเงื่อนไขตามกฎหมายและสัญญาที่ระบุไว้ว่าจะดำเนินการกับบริษัทคู่สัญญา
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ได้แก่ 1.ข้อมูลที่เกี่ยวกับความมั่นคงพื้นที่ตั้งจุดต่างๆ ที่เชื่อได้ว่ามีหลักฐานระดับหนึ่งที่เกี่ยวพันกับอาชญากรข้ามชาติ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีหลายจุดตั้งแต่ทางแม่สาย เมียวดี พญาตองซู 2.อาจมีความเชื่อมโยงกับบุคลลที่เกี่ยวข้องบริษัทสัมปทาน กลุ่มที่เป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนกาสิโนทั้งหลายก็มีความเกี่ยวกันกันระดับหนึ่งในเรื่องตัวบุคคล ที่อาจมีความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงกับการจำหน่ายไฟภายในเมียนมา 3.พบว่ามีความต้องการขอใช้ไฟเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่เราไม่อนุมัติ เพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่าเอาไปทำอะไร
นายฉัตรชัยกล่าวอีกว่า 4.แม้ที่ผ่านมารัฐบาลไทยและ กฟภ.เคยมีการตัดไฟไปแล้วที่ชเวก๊กโก และเคเคปาร์ก แต่ปรากฏว่าเขายังประกอบกิจการได้ ซึ่งอาจใช้น้ำมันปั่นไฟ 5.พบว่าสัดส่วนการใช่ไฟตามจุดต่างๆ เป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา และ 6.จุดที่เคยตัดไฟไปแล้ว พบหลักฐานบางอย่างว่ามีการหาไฟจากแหล่งอื่นไปทดแทน
นายฉัตรชัยกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติอีก 3 เรื่องคือ 1.สมช.จะประมวลข้อมูลด้านความมั่นคงให้ กฟภ.ประกอบการพิจารณา 2.ให้ กฟภ.นำข้อมูลไปเจรจากับบริษัทคู่สัญญา เพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสมให้เป็นไปตามหลักของสัญญา ตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก ตามเงื่อนไขของ กฟภ. เช่น อาจมีการงดการจ่ายไฟ และถ้ามีการงดจ่ายไฟจะงดแบบไหน เป็นไปตามระเบียบ กฟภ.และสัญญา แต่ทั้งหมดต้องคำนึงถึงผลกระทบประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านด้วย จึงต้องดูให้เหมาะสม และล่าสุดเป็นเรื่องดีที่ กฟภ.มีการทำงานเชิงรุก โดยมีการแจ้งไปที่บริษัทคู่สัญญาว่าเรามีความกังวลต่อพื้นที่ดังกล่าวว่าใช้ไฟไม่ถูกต้องและไม่เป็นไปตามสัญญา ซึ่ง กฟภ.มีหนังสือแจ้งไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
นายฉัตรชัยกล่าวอีกว่า และ 3.ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ประสานกับรัฐบาลเมียนมาไปกำชับบริษัทคู่สัญญาที่รัฐบาลเมียนมาอนุมัติให้มาสัมปทานกับ กฟภ. เพื่อให้รัฐบาลเมียนมาตรวจสอบว่ามีการใช้ไฟไม่เหมาะสม รวมถึงมีคณะทำงานร่วมจากฝั่งไทยและเมียนมาเข้าไปดูพื้นที่ร่วมกันว่าจุดไหนมีปัญหา เพื่อจะรับทราบปัญหาร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรการเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นระหว่าง กฟภ.และบริษัทคู่สัญญา ใน 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ ท่าขี้เหล็ก-แม่สาย แม่สอด-เมียวดี และพญาตองซู
“จากข้อมูลทั้งหมดในวันนี้จะส่งให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภาความมั่นคงต่อไป เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ” นายฉัตรชัยกล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้หมดขั้นนตอนของ สมช.แล้วหรือไม่ ต่อไปจะได้ไม่ต้องโยนกันไปมา นายฉัตรชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมาก็ไม่ได้โยนกันไปมา ต่างคนต่างมีหน้าที่ ซึ่งข้อกฎหมายและกระบวนการเป็นเรื่องสำคัญ ต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจน ที่เคยถามว่าใครมีอำนาจในการตัดไฟก็คือต้องดูข้อกฎหมาย ส่วน กฟภ.จะตัดไฟหรือไม่ก็ต้องรอผลจากมติที่ประชุมในวันนี้ว่าไปเจรจาแล้วได้ผลอย่างไร เพื่อมาประเมินอีกครั้ง
เมื่อถามว่า หลังจากส่งเรื่องให้ กฟภ.ไปแล้ว สมช.ประเมินหรือไม่ว่าจะใช้เวลากี่สัปดาห์ในการตัดไฟ นายฉัตรชัยกล่าวว่า จะทำให้เร็วที่สุด เราจะรีบสรุปผลประชุมไป เพื่อจะรีบไปเจรจากับคู่สัญญา โดย กฟภ.จะใช้มติที่ประชุมวันนี้ไปอ้างอิงได้ ได้แก่ ข้อมูลความมั่นคง มติที่ประชุมวันนี้ และระเบียบกฎหมายของ กฟภ. และมติ ครม.ที่เคยอนุมัติให้ขายไฟแก่ประเทศเพื่อนบ้าน
เมื่อถามว่า ข้อมูลที่ประชุมในวันนี้เพียงพอที่จะตัดไฟได้หรือไม่ เลขาธิการ สมช.กล่าวว่า ในกระบวนการต้องไปถามคู่สัญญาด้วย มีคณะกรรมการที่ตั้งไปตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน
ขณะที่ นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า ปัจจุบันที่ กฟภ.มีข้อมูล บริษัทที่ได้สัมปทานจากเมียนมาไปนั้น ถ้าเป็นที่ท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน มีอยู่ 1 บริษัท คือบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด และที่แม่สอด จ.ตาก มีทั้งหมด 2 บริษัท ส่วนที่พญาตองซูมีอีก 1 บริษัท รวมทั้งหมด 4 บริษัท ในส่วนของข้อมูลความมั่นคง จากที่ได้รับในการประชุมก็มีส่วนที่เป็นประโยชน์ กฟภ.จะนำไปใช้ในการดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่า จะใช้ระยะเวลาในการตัดไฟเท่าไหร่ นายประสิทธิ์กล่าวว่า หากผิดกฎหมายก็สามารถตัดได้ แต่ในกระบวนการต่างๆ ต้องมีความรอบคอบรัดกุม และจะดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อถามต่อว่า ปัจจุบัน กฟภ.จะมีการตั้งคณะกรรมการลงพื้นที่ตรวจสอบหรือไม่ นายประสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ใช่ กฟภ.ที่ต้องตั้งคณะกรรมการ ต้องเป็น สมช.ที่จะต้องตั้งกรรมการ โดย สมช.จะมีมติตั้งคณะกรรมการร่วมกันทุกฝ่าย และจะไปตรวจสอบร่วมกัน
เมื่อถามอีกว่า การตรวจสอบเห็นได้ชัดหรือไม่ว่ามีการนำไฟฟ้าไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องตามสัญญา นายประสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้ลงไปพื้นที่ แต่ได้มีการเตรียมการจะลงไปในพื้นที่แล้ว
เมื่อถามต่อว่า จะต้องมีการลงไปในพื้นที่ก่อนใช่หรือไม่ ถึงจะมีอำนาจในการตัดสินใจได้ นายประสิทธิ์กล่าวว่า เราก็มีข้อมูลที่จะดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องแล้ว ส่วนจะมีการที่งดจ่ายไฟหรือไม่ก็ต้องมีการลงไปในพื้นที่ตรวจสอบ ย้ำว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด
เมื่อถามอีกว่า ประชาชนตั้งคำถามว่าปัจจุบันมีข้อมูลและหลักฐานเยอะมากพอสมควรแล้ว หาก กฟภ.ลงไปตรวจพื้นที่จะมีการตัดไฟได้เลยหรือไม่ นายประสิทธิ์กล่าวว่า เราต้องมองในเรื่องของกฎหมาย และมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) พอแล้วเสร็จ เราจะเสนองดจ่ายไฟและจะมีการไปดำเนินการในเรื่องของนโยบาย หาก ครม.มีมติงดจ่ายไฟ ก็สามารถงดจ่ายไฟได้ทันที
เมื่อถามอีกว่า ในส่วนของการลงพื้นที่จะลงไปในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ นายประสิทธิ์กล่าวว่า จะต้องลงไปตรวจสอบในพื้นที่จริง เพื่อให้มีการตรวจสอบอย่างถูกต้องว่าบริษัทที่ได้สัมปทานไปนั้นยืนยันว่าไม่มีการจ่ายไฟ หากมีการสอบถามไปแล้วยังไม่มีคำตอบกลับมา เราจะถือว่าเป็นการทำผิดสัญญา และจะทำการงดจ่ายไฟ ถ้าหากตอบกลับมาว่าไม่มี เราก็จะต้องทำการตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ที่ได้กล่าวมาว่าไม่มีตามที่ระบุ
เมื่อถามอีกว่า ในตัวรายละเอียดสัญญามีการระบุหรือไม่ว่าหากนำไฟฟ้าไปใช้ผิดประเภทจะมีการตัดไฟหรือเลิกให้บริการ นายประสิทธิ์กล่าวว่า ในสัญญาระบุว่าหากนำไปใช้และกระทบกับความมั่นคงจะมีการตัดไฟ
เมื่อถามต่อว่า มีโอกาสที่จะกระทบกับความมั่นคงและจะมีการเสนอต่อ ครม.ให้มีมติงดการจ่ายไฟก่อนหรือไม่ นายประสิทธิ์กล่าวอีกว่า ต้องดูจากหลักฐานทั้งหมดแล้วมารวบรวม
เมื่อถามต่ออีกว่า เรื่องทั้งหมดนี้จะจบที่ กฟภ.ตัดสินใจใช่หรือไม่ นายประสิทธิ์กล่าวอีกว่า ถ้าเป็นการงดจ่ายไฟระดับประเทศ ยังไงก็ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.
เมื่อถามย้ำว่า จะมีการลงพื้นที่เมื่อไหร่ นายประสิทธิ์กล่าวว่า จะลงพื้นที่เร็วที่สุดและยังมีหลายหน่วยงานที่ต้องพูดคุย ตนยังตอบไม่ได้ แต่ทางคณะกรรมการของ กฟภ.เป็นการลงพื้นที่ไปตรวจสอบแล้วในวันนี้ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยไม่ได้ข้ามไปที่ชายแดน แต่ขอย้ำว่าจะลงพื้นที่ฝ่ายเดียวไม่ได้ จะต้องไปทุกๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามอีกว่า นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้ระบุว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์การพยายามขอต่อไฟจากจุดที่เคยแล้วใช่หรือไม่ นายประสิทธิ์กล่าวว่า ถึงจะมีการขอจริงเราก็ไม่มีการให้แน่นอน และกำลังจะมีการพิจารณาว่าไฟฟ้าที่ใช้อยู่นั้นหากมีการหมดสัญญาเราจะใช้เงื่อนไขนี้ในการที่จะไม่จ่ายไฟต่อ ถ้าหากนำไปขายไฟในรูปแบบที่ผิดกฎหมาย เราจะไม่ต่อสัญญาด้วยซ้ำ ฉะนั้น หากการงดจ่ายไฟและมีข้อมูลยืนยันว่านำไฟไปใช้กับทางที่ผิดกฎหมายเราจะไม่ขายไฟต่ออยู่แล้ว
เมื่อถามอีกว่า ระยะสัญญาจะหมดในช่วงปีไหน นายประสิทธิ์กล่าวว่า สัญญาจะเป็นสัญญาแต่ละจุดพื้นที่ไป อยู่ที่ระยะเวลา 1-3 ปี แต่ส่วนใหญ่จะ 5 ปี
ด้าน นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงถึงอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการร่วมกับหน่วยงานเพื่อตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าว่า หากมีข้อมูลข้อเท็จจริงทางการข่าวและเห็นชัดว่าอะไรมีการนำกระแสไฟฟ้าจากฝั่งไทยไปใช้ในกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมหรือกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ กระทรวงมหาดไทยสามารถรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาประกอบการพิจารณาได้ เพราะ กฟภ.มีสัญญาที่ระบุไว้ว่า เราสามารถเลิกหรืองด และบังคับตามสัญญาในการจ่ายกระแสไฟฟ้า ถ้าพบว่ามีผลกระทบต่อความมั่นคง ดังนั้น จึงนำข้อมูลเข้ามาพูดคุยกับ สมช.เพื่อรวบรวมข้อมูลให้นายภูมิธรรมรับทราบว่าการใช้ไฟในพื้นที่นั้นๆ กระทบต่อความมั่นคงหรือไม่ ก่อนจะให้การไฟฟ้านำข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณาตามสัญญา
รองปลัด มท.กล่าวว่า หากมีความชัดเจนก็สามารถดำเนินการตามสัญญาได้เลย หรือหากยังไม่มีความชัดเจนมากพอ ก็ต้องไปสอบถามคู่สัญญา รวมทั้งลงไปตรวจสอบพื้นที่ เพราะบางครั้งคู่สัญญาอาจตอบว่าไม่กระทบ แต่จะช่วยได้หรือไม่ ก็ต้องนำข้อมูลมาประกอบกับทาง สมช. นอกจากนี้ หากข้อมูลยังไม่ชัดอีก ก็ต้องมีการตั้งทีมลงไปตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริสุทธิ์ที่ใช้ไฟ และผู้ที่ทุจริตใช้ไฟโดยไม่ชอบ
นายชำนาญวิทย์กล่าวต่อว่า แนวทางเหล่านี้ มท.ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 โดยทำหนังสือไปสอบถามหลายหน่วยงาน ทั้งแนวทางการตัดน้ำ ตัดไฟ รวมถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ต หากได้ข้อสรุปก็เชื่อว่าจะสามารถดำเนินการตามสัญญาได้ทันที
เมื่อถามว่า อำนาจการตัดไฟอยู่ที่ กฟภ. หรือต้องนำเข้าที่ประชุม ครม. นายชำนาญวิทย์กล่าวว่า ต้องดูมติ ครม. เพราะตอนที่อนุญาตให้ขายไฟก็อยู่ที่ ครม. เพราะฉะนั้นการที่จะงดขาย ต้องไปดูว่าตอนอนุญาตมีเงื่อนไขอย่างไร ซึ่งตามมติ ครม.มีการพูดถึงเรื่องความมั่นคง จึงถูกนำมาเขียนไว้ในสัญญา ทำให้ต้องพ่วงกับ สมช. ดังนั้น เรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศจะต้องถามทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศและ สมช. เพื่อนำมาประกอบว่าผิดตามเงื่อนไขหรือไม่ หากพบก็สามารถบังคับตามเงื่อนไขได้ทันที พร้อมย้ำว่าการจะตัดไฟได้ ต้องยึดตามสัญญา ซึ่งในสัญญาระบุไว้ประตูเดียวว่าจะต้องกระทบต่อความมั่นคงเท่านั้น
เมื่อถามย้ำว่า บุคคลที่จะมีอำนาจเซ็นในการตัดไฟฟ้าได้คือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงใช่หรือไม่ นายชำนาญวิทย์กล่าวว่า ก็คุม สมช.