หมายเหตุ – ความเห็นของนักวิชาการและฝ่ายการเมืองกรณีคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ปี 2564 ลงมติเห็นชอบจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน จำนวน 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ตามที่กองทัพเรือเสนอมา
สุรชาติ บำรุงสุข
ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประการแรก 1.ความจำเป็นเฉพาะหน้าของประเทศขณะนี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจ ไม่ใช่เรื่องการซื้ออาวุธ เพราะตอนนี้ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจจากโรคระบาด นับเป็นภาวะเศรษฐกิจที่อันตราย 2.ในภาวะเช่นนี้ รัฐบาลเองยังต้องกู้เงินเพื่อใช้ในการบริหารประเทศ แต่ในขณะที่ต้องกู้เงินมาเพื่อบริหารประเทศนี้ กองทัพเรือกลับจับต้องเงินถึง 2 หมื่นกว่าล้านบาท ไปซื้ออาวุธ 3.อาวุธที่ซื้อ โดยข้อมูลแล้ว ไม่ได้มีสัญญาว่าประเทศไทยจะต้องซื้อ เนื่องจากการซื้อเรือดำน้ำลำที่ 1 ไม่ได้มีสัญญาผูกพันโดยตรงว่าต้องซื้อลำที่ 2 ดังนั้น การซื้อครั้งนี้จึงเป็นการตัดสินใจของกระทรวงกลาโหม และกองทัพเรือ ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อผลสืบเนื่องว่าจะทำให้สถานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีปัญหามากขึ้น
4.ประเทศไทยในภาวะปัจจุบันไม่ได้เผชิญภัยสงคราม ไม่มีความจำเป็นต้องซื้ออาวุธ แม้ว่าจะยังต้องการพัฒนากองทัพ โดยเรือดำน้ำจะใช้ในการรบ เอาไว้ยิงเรือรบของฆ่าศึกในการทำสงครามใต้น้ำ ดังนั้น บนเงื่อนไขของสงคราม ณ วันนี้ ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้ และในภูมิภาคก็ไม่ใช่เงื่อนไขปัญหาสงครามเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือในภูมิภาคอาเซียน โจทย์ใหญ่ยังคงเป็นผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ฉะนั้น ผลกระทบจากโรคระบาด ทำให้ 5.หลายประเทศในภูมิภาคอ่อนแอลง แปลว่า ไม่มีประเทศใดมีศักยภาพที่จะทำสงครามได้อย่างจริงจัง ฉะนั้น ความกลัวเรื่องข้าศึกจะโจมตีประเทศไทยทางทะเล จึงเป็นเพียง “จินตนาการที่ไม่เป็นจริง” เพราะทุกประเทศ ณ วันนี้ยุ่งอยู่กับการฟื้นฟูประเทศหลังโควิด
ดังนั้น มติเห็นชอบของอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์จึงสะท้อนเพียงอย่างเดียวว่า พรรคร่วมรัฐบาลไม่มีความคิดเป็นอื่น นอกจากทำตัวรับใช้สิ่งที่รัฐบาลต้องการ ถ้าบอกว่า ซื้อตามโปรโมชั่น ก็เท่ากับตอบว่า แล้วสัญญาการซื้อเดิมไม่มีผลสืบเนื่องหรือ เพราะเราซื้อในกรอบวงเงินตามสัญญาที่ทำไว้ตั้งแต่ครั้งที่ 1 วันนี้รัฐบาลและกองทัพควรพูดความจริงมากกว่านี้ ว่าในสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำ ตกลงแล้ว อะไรคือเงื่อนไขทั้งหมด
ทั้ง 3 ส่วน รัฐบาล กระทรวงกลาโหม และกองทัพเรือ ต้องกล้าเปิดเผยความจริงให้สังคมรับทราบ การซื้อแล้วออกมาพูดทีละส่วน เป็นเพียงความจริงครึ่งเดียว (half-truth)
ส่วนที่ว่า ซื้อเพื่อความเกรียงไกรของกองทัพนั้น วันนี้กองทัพไทยไม่ใช่แค่กองทัพเรือ แต่ทหารไทยควรตระหนักว่า ความเกรียงไกรของประเทศคือ การฟื้นประเทศไทยให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น ในประเทศที่ชีวิตประชาชนประสบความยากลำบาก กองทัพไม่สามารถที่จะมีความเกรียงไกรได้ ต้องสร้างให้ประชาชนเกรียงไกร กองทัพจึงจะเกรียงไกร
ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม
ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ฯ
ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เมื่อในที่ประชุมอนุ กมธ.ได้ลงมติ ผลสรุปออกมา 5 ต่อ 4 เสียง ให้เห็นชอบให้มีจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน จำนวน 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ตามที่กองทัพเรือเสนอมา พวกผม ส.ส.ฝ่ายค้าน ในคณะอนุ กมธ.ก็คงไม่มีแนวทางการต่อสู้อื่น นอกจากเดินหน้าฟ้องประชาชนอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้ผมยังไม่ทราบว่า กมธ.งบประมาณฯ คณะใหญ่ จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารืออีกหรือไม่ แต่เบื้องต้นได้ทำข้อสังเกตเสนอถึง กมธ.งบประมาณฯ คณะใหญ่ถึงเหตุผลของตัวเองที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว
ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้กำลังลำบากเป็นอย่างมาก การจัดซื้อเรือดำน้ำที่มีมูลค่ามหาศาลแบบนี้ เท่ากับการเหยียบเลือดคนจนในภาวะประเทศชาติวิกฤต โดยอ้างถึงสัจจะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งๆ ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ไม่ได้มีสัจจะทุกเรื่อง การอ้างความสัมพันธ์กับจีน รับปากกับจีน โดยที่วันนี้ประเทศลำบากมาก พวกเราก็เห็นกันทุกคน แต่รัฐบาลกลับจะเอาชนะเพื่อซื้อเรือดำน้ำให้ได้อย่างเดียว
ในการประชุม ผมยืนยันจะตัดทิ้งทั้งโครงการ แต่มีอนุ กมธ. โดยเฉพาะนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย จะพยายามต่อรองให้ซื้อลำเดียวไปก่อนได้หรือไม่ แต่ทางกองทัพเรือก็ไม่ยอม จะเอาตามที่ขอมา 2 ลำอย่างเดียว ทั้งๆ ที่เอ็มโอยูก็ไม่ได้ระบุว่าต้องซื้อลำที่ 2 ลำที่ 3 ต่อจากลำแรกที่ได้จัดซื้อไปแล้วแต่อย่างใด ดังนั้น โครงการนี้ถือเป็นโครงการใหม่ที่เกิดขึ้นเพียงเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไปตกปากรับคำกับจีนไว้ จึงกลัวไม่อยากเสียหน้า ไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียหน้า ทั้งๆ ที่เสียมาไม่รู้กี่เรื่องแล้ว
ผมยืนยันที่ผ่านมาการตั้งข้อสังเกตแบบนี้ไม่ใช่ตั้งแง่รังเกียจทหารเลย แต่ต้องยอมรับว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา งบทหารเยอะมาก ไปดูได้ตามหน่วยงานราชการใน กทม. หน่วยงานทหารทั้งนั้น ที่มีแต่งานก่อสร้าง สร้างตึก สร้างอาคารใหม่ แฮปปี้เอ็นดิ้ง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการสร้างให้ฐานอำนาจแข็งแรง เลยเอาใจกันใหญ่ โดยไม่ดูบริบทของประเทศ เอาแต่ความมั่นคงของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่คิดถึงความมั่นคงของพี่น้องประชาชนเลย
ดังนั้น ผมจะใช้ 3 เวทีในการเดินหน้าฟ้องประชาชน เวทีแรก ในคณะ กมธ.งบประมาณฯคณะใหญ่ เวทีที่ 2 ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระสอง ในที่ประชุมใหญ่ และเวทีที่ 3 ในการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 152 ตามรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอ เพราะการซื้อเรือดำน้ำในขณะนี้ถือว่า รัฐบาลไม่เข้าใจบริบทที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ จึงถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะบริหารประเทศต่อไป
วรรณวรี ตะล่อมสิน
ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะโฆษกคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ฯ
ในฐานะโฆษกคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เป็นครั้งแรกที่กองทัพเรือมาชี้แจงต่อ กมธ.ซึ่งก็ระบุถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องซื้อเรือดำน้ำว่า หากไม่ซื้อภายในปีนี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน เพราะได้ทำสัญญาไปแล้ว เมื่อทาง กมธ.ได้ฟังแบบนั้นจากที่คิดว่าไม่ควรซื้อเรือดำน้ำ จึงขอให้กองทัพเรือนำเอกสารสำคัญและสัญญาเอ็มโอยูกับจีนมาชี้แจงในครั้งต่อไป เพื่อตรวจดูว่าหากไม่ซื้อจะส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์กับจีนอย่างไร ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม กองทัพเรือก็นำเอกสารลับ ที่อนุญาตให้ดูได้ภายในห้องประชุมเท่านั้นมาให้ กมธ.ตรวจสอบ ระหว่างนั้นทางกองทัพเรือก็นำเสนอเหตุผลต่างๆ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็พบว่าเนื้อหาเหมือนเดิม คือเป็นเพียงการชี้แจงถึงความจำเป็นว่าต้องการแสดงแสนยานุภาพ เพราะประเทศอื่นๆ และประเทศเพื่อนบ้านก็มีเรือดำน้ำ โดยเน้นย้ำเพิ่มว่า หากไม่ซื้อภายในปีนี้ ราคาจะเปลี่ยน และไม่ได้อาวุธเป็นของแถมที่มีมูลค่าหลายพันล้านบาท ทั้งนี้ เอกสารต่างๆ ที่กองทัพเรือนำมาให้ กมธ.พิจารณา เมื่อเสร็จเราก็ต้องส่งคืน ไม่สามารถเก็บกลับไปตรวจสอบต่อได้ ที่อนุญาตให้นำกลับได้เป็นเอกสารเพียงสิบกว่าแผ่นเท่านั้น
สรุปว่าสัญญาเอ็มโอยูที่นำมาให้ กมธ.พิจารณานั้น ก็ไม่ได้มีเหตุผลที่มีน้ำหนักพอที่จำเป็นต้องซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพเรือก็ยังให้เหตุผลเสริมถึงความจำเป็นในการซื้อเรือดำน้ำว่า จะเกิดผลเสียหายด้านการท่องเที่ยว โดยนำเสนอสถิติว่าในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากจีนเข้าไทยจำนวนมาก อีกทั้งจะเสียหายเรื่องดุลการค้า การนำเข้า และส่งออกสินค้าต่างๆ ซึ่งพิจารณาแล้ว พบว่าไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนว่าไทยควรซื้อเรือดำน้ำจากจีนเลย ดิฉันจึงไม่โหวตให้ผ่าน
การอนุมัติซื้อเรือดำน้ำครั้งแรกเกิดขึ้นในรัฐบาล คสช. เมื่อปี พ.ศ.2558 หลังการรัฐประหารเพียง 1 ปีเท่านั้น เป็นการอนุมัติและทำสัญญาซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ กับจีน โดยที่ประชาชนไม่ได้รับรู้ สำหรับลำแรกจ่ายเงินงวดแรกตอนปี พ.ศ.2560 และจะได้รับของในปี พ.ศ.2566 จนกระทั่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เรื่องนี้จึงปรากฏออกมา เมื่อนำงบประมาณมาพิจารณากันบนโต๊ะ คนในประเทศก็ไม่มีใครเห็นด้วยที่จะอนุมัติงบประมาณจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็แพ้โหวตในที่ประชุม
ส่วนรายชื่ออนุ กมธ.ที่โหวตผ่านให้ซื้อเรือดำน้ำมาจากพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดนั้น สะท้อนถึงการสืบทอดอำนาจของการทำรัฐประหาร ที่ยังอยู่เหนืออำนาจของประชาชน ดิฉันตั้งข้อสังเกตว่า ความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.ที่รวมถึงจากฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลด้วยนั้น ก็แสดงออกว่าปีนี้ไม่ควรซื้อเรือดำน้ำ แต่พอโหวตจริงกลับเปลี่ยนมาโหวตให้ซื้อแทน
อ่านข่าว : ก๊อปปี้โชว์บิ๊กตู่ แชร์ว่อนโลกโซเชี่ยล เต้นมีความสุขข้างเรือดำน้ำจีน (คลิป)
อ่านข่าว : กรณ์ ค้านรัฐซื้อเรือดำน้ำ แนะแก้ปัญหาปากท้อง ช่วยธุรกิจขนาดเล็กกว่า2แสนราย
อ่านข่าว : จับตา กมธ.ชุดใหญ่ ถกงบเรือดำน้ำ 26 ส.ค. เสนอเปิดหน้าลงมติ หวั่นเป็นเชื้อไฟขยายม็อบลามหนัก
อ่านข่าว : โผล่แล้ว ‘เรือดำน้ำ’ ความภาคภูมิใจ ทร. กองเรือยุทธการสร้างป้ายใหม่อลังการ
อ่านข่าว : ยื้อเต็มที่แล้ว หมอเรวัตห่วง ซื้อเรือดำน้ำ 2.2 หมื่นล. ซ้ำเติมจิตใจบอบช้ำของประชาชน
อ่านข่าว : มีเรือดำน้ำให้ประเทศอื่นเกรงใจ ‘สุพล’ ยันไม่กระทบ ปชช. เหตุผ่อนจ่ายเป็นงวด งบผูกพันหลายปี