พลันที่มีการยกตำแหน่ง “ประธานสภา” ขึ้นมาเป็น “ประเด็น” สะท้อนความเห็นต่างในทางความคิด ในทางการเมือง
ระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล”
แปลกอย่างยิ่งที่เมื่อ อดิศร เพียงเกษ ออกโรงมาเป็น “กองหน้า” ผู้คนก็เกิดนัยประหวัดไปยัง จาตุรนต์ ฉายแสง
ยิ่งเมื่อ จตุพร พรหมพันธุ์ เข้าร่วมด้วยช่วยกัน
การรอคอยรับฟังหรืออ่าน“ความเห็น” ของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยิ่งมากด้วยความระทึกอย่างเป็นพิเศษ
ดำเนินไปในลักษณะ “ประกบ” คู่
คู่หนึ่ง คือ อดิศร เพียงเกษ กับ จาตุรนต์ ฉายแสง อีกคู่หนึ่ง คือจตุพร พรหมพันธุ์ กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ถามว่า ดำรงอยู่บน “ฐานคติ” ใด
คําตอบ 1 อาจเพราะ อดิศร เพียงเกษ และ จาตุรนต์ ฉายแสง ล้วนเคยอยู่ในเสื้อ “คน เดือนตุลา” มาด้วยกัน
คนหนึ่งอยู่ “ธรรมศาสตร์” คนหนึ่งอยู่ “เชียงใหม่”
คำตอบ 1 อาจเพราะเคยร่วมเป็น “นักการเมือง” อยู่ภายใต้ร่มธง “ความหวังใหม่” ของ “พ่อใหญ่”
ชวลิต ยงใจยุทธ
ก่อนเข้าสู่ “ไทยรักไทย” ตามมาด้วย “เพื่อไทย”
กล่าวสำหรับ กรณีของ จตุพร พรหมพันธุ์ กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่สำคัญย่อมเป็น “มิตรร่วมรบ” ในนามแห่ง “นปช.”
เท่ากับเคยหายใจ “ร่วม” รูจมูกเดียวกันมา
เพียงแต่วันนี้ไม่มี “ประธาน”นปช.แล้วในทางเป็นจริง เพียงแต่วันนี้ไม่มี “เลขาธิการ” นปช.แล้วในทางเป็นจริง
จึงอยากรู้ว่ายังหายใจ “ร่วม”รูจมูกเดียวกัน อยู่หรือไม่
น่าเศร้าเป็นอย่างมากที่หากกล่าวโดย “องค์รวม” เหมือนกับจะมี “ความต่าง” ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด
ระหว่าง “คนเดือนตุลา” ระหว่าง “คน นปช.”
เพียงแต่ จาตุรนต์ ฉายแสง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มิได้มองว่า “ก้าวไกล” เป็นละอ่อน ไร้เดียงสาในทางการเมือง
เพียงแต่ จตุพร พรหมพันธุ์ มอง “ก้าวไกล” ตกเป็น “เหยื่อ”
เพียงแต่ อดิศร เพียงเกษ เห็นภาพของ “ก้าวไกล” ดำรงอยู่เหมือนกับพระที่เพิ่งผ่านการบวช อ่อนพรรษา
ไม่เหมาะกับการได้ตำแหน่ง “ประธานสภา”
ไม่ว่าการมองของ อดิศร เพียงเกษ การมองของ จตุพร พรหมพันธุ์ การมองของ จาตุรนต์ ฉายแสง
การมองของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สะท้อนความ “ต่าง”
เมื่อยืนอยู่คนละ “มุม” ภาพที่เห็นย่อมแตกต่าง ไม่เหมือนกัน
ในที่สุดแล้วแม้จะมีรากฐานมาจาก “เดือนตุลา” เหมือนกัน แม้จะมีรากฐานมาจาก “นปช.” เหมือนกัน
แต่เมื่ออยู่ใน “กาละ” และ “เทศะ” อันต่าง
บทสรุปจาก อดิศร เพียงเกษ จึงไม่เหมือน จาตุรนต์ ฉายแสง บทสรุปจาก จตุพร พรหมพันธุ์ จึงไม่เหมือน
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เมื่อ “เวลา” เปลี่ยน คนก็ย่อม “เปลี่ยน”
