ผู้เขียน | บวรพงศ์ ศุภโสภณ |
---|
‘อ็อตโต เคลมเพอเรอ : ดนตรีที่หนักหน่วงจริงจังกับชีวิตซึ่งกลั่นมาจากวิกฤตการณ์แห่งชีวิตจริง’
มีความเชื่อกันอยู่ว่าดนตรีและศิลปะมักจะเชื่อมโยงกับชีวิตจริงหรือสะท้อนภาพแห่งชีวิตจริงอยู่บ้างไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง, ไม่มากก็น้อย นี่จึงถือเป็นคุณูปการอย่างหนึ่งของดนตรีกับชีวิตมนุษย์ ซึ่งความเชื่อมโยงที่ว่านี้ก็อาจมีสัดส่วนแตกต่างกันออกไปตามประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน แต่สำหรับเรื่องราวในชีวิตของศิลปินดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 20 หลายๆ คน, หลายๆ กรณี มักจะมีความเชื่อมโยงระหว่างดนตรีกับชีวิตให้น่าศึกษาค้นคว้าอยู่มาก โลกที่ผ่านวิกฤตในระดับสงครามโลกกับศิลปินที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เอาตัวรอด ทำให้เรื่องราวเหล่านี้น่าตื่นเต้นราวกับละครชีวิต ซึ่งเมื่อกล่าวถึงในแง่นี้เรื่องราวของวาทยกรผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกชาวเยอรมันอย่าง “อ็อตโต เคลมเพอเรอ” (Otto Klemperer) จึงมีประเด็นอันน่าสนใจศึกษาติดตามเป็นอย่างยิ่ง
ชื่อเสียงและผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ของ “อ็อตโต เคลมเพอเรอ” ต่อผู้คนในยุคหลังๆ ก็เห็นจะได้แก่ มรดกงานบันทึกเสียงการตีความบทเพลงซิมโฟนีครบชุดทั้ง 9 บท ของ เบโธเฟน (Ludwig van Beethoven) กับวง “ฟิลฮาร์โมเนีย ออร์เคสตรา” (Philharmonia Orchestra) แห่งประเทศอังกฤษ ที่บันทึกไว้ในช่วงทศวรรษ 1960 ในช่วงที่อ็อตโต เคลมเพอเรอ ได้ย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัยแล้วและมีสภาพสังขารร่างกายที่ทรุดโทรมจนอาจเรียกได้ว่า “กึ่งพิการ” แต่การตีความดนตรีของเบโธเฟนของเขาในช่วงนี้ ก็กลายเป็นแบบฉบับที่ได้รับการยอมรับยกย่องจากผู้รู้และผู้รักดนตรีทั่วโลกว่าแสดงมาตรฐานแห่งเนื้อหาดนตรีซิมโฟนีของเบโธเฟนได้กระจ่างชัด, มีความพอเหมาะพอดี สร้างคุณค่าแรงบันดาลใจในเชิงเนื้อหาปรัชญาทางความคิดต่อผู้ฟังได้เป็นอย่างดียิ่งซึ่ง น่าจะมีความต้องตรงกับวัตถุประสงค์และลักษณะของ “ความเป็นเบโธเฟน” อย่างแท้จริง เนื้อหาบทความในครั้งนี้ได้รับเนื้อหาและแรงบันดาลใจเป็นอย่างมากจาก ข้อเขียนของปรมาจารย์นักวิจารณ์ดนตรีชาวอังกฤษคนสำคัญคือ “เซอร์ เนวิลล์ คาร์ดุส” (Sir Neville Cardus) และบทสัมภาษณ์ของ “อลัน บลายธ์” (Alan Blyth) ที่ได้พูดคุยกับเคลมเพอเรอ ในปี พ.ศ.2513 ก่อนเคลมเพอเรอจะถึงแก่กรรมเพียง 3 ปี
คุณค่าและความน่าเชื่อถือในด้านการตีความทางดนตรีของเคลมเพอเรอ หรือบรรดาวาทยกรผู้ยิ่งใหญ่หลายๆ ท่านแห่งศตวรรษที่ 20 ก็คือท่านเหล่านี้เกิดขึ้นมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อันเป็นช่วงเวลาที่ดนตรียังมีสถานะอันสำคัญต่อโลกและสังคม ดนตรียังคงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางในการศึกษาเพื่อบ่มเพาะวุฒิภาวะของความเป็นมนุษย์ มิใช่เป็นเพียงมรหสพเพื่อความบันเทิงเป็นใหญ่แบบในยุคหลังศตวรรษที่ 20 สายธารแห่งมรดกทางปัญญาในศิลปะดนตรีในศตวรรษที่ 19 จึงยังคงความบริสุทธิ์สดใสทางปัญญาเอาไว้ได้เป็นอย่างมาก สายธารที่ยังคงพอจะเชื่อมโยงกับบรรยากาศแห่งยุค “แสงสว่างทางปัญญา” ของเบโธเฟนอย่างพอจะสัมผัสต่อเนื่องได้บ้าง นี่จึงเป็นเหตุผลที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับการตีความของศิลปินดนตรีบรมครูทั้งหลายที่มีชีวิตถือกำเนิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ที่มีวิสัยทัศน์ต่อดนตรีและศิลปะด้วยความเทิดทูนจริงจัง ไม่ใช่เรื่องเสียงดนตรีผ่านๆ หูเพื่อความบันเทิง และอ็อตโต เคลมเพอเรอ ก็คือหนึ่งในตัวอย่างของความเป็นเลิศนั้น
อย่างที่ได้บอกกล่าวไปแล้วว่า มรดกในงานบันทึกเสียงทางดนตรีของเคลมเพอเรอ ที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงพวกเราในยุคปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในยุคคริสต์ทศวรรษ 1960 ในยามที่เคลมเพอเรอ ล่วงเข้าวัย 80 แล้ว มีสภาพร่างกายที่ทรุดโทรม แต่ยังสูงด้วย “กำลังภายในทางดนตรี” อีกทั้งกำลังสติปัญญาและประสบการณ์สั่งสม ในกรณีนี้เราคงต้องยกคุณงามความดีให้กับ “วอลเตอร์ เลกจ์” (Walter Legge) ผู้อำนวยการผลิตและการบันทึกเสียง (Producer) ของบริษัท อีเอ็มไอ, คลาสสิก ที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในการมองการณ์ไกลว่าหลังจากยุคสงครามโลกครั้งที่สองผ่านไป เทคโนโลยี, เครื่องมือในการบันทึกเสียงดนตรีดีขึ้น แต่ทว่าบรมครูวาทยกรผู้ยิ่งใหญ่ทางการตีความดนตรีคลาสสิกสายออสเตรีย-เยอรมันที่สูงด้วยพุทธิปัญญาความน่าเชื่อถือสองยักษ์ใหญ่อย่าง “วิลเฮล์ม เฟิร์ทเวงเลอร์” (Wilhelm Furtwangler) และ “อาร์ทูโร ทอสกานินี” (Arturo Toscanini) ได้ล่วงลับไปแล้ว มรดกการตีความทางดนตรีที่น่าเชื่อถือในชั้น “บรมครู” ห่างหายไปจากวงการ เหลือแต่เคลมเพอเรอเพียงผู้เดียวที่ยังดำรงชีวิตเหลืออยู่ นี่จึงเป็นที่มาในการนำเอาวาทยกรในช่วงปัจฉิมวัยในสภาพกึ่งพิการมาแจ้งเกิดใหม่ด้วยวัย 80 ปี
เคลมเพอเรอ เกิดในปี ค.ศ.1885 เป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว อาจพอจะกล่าวได้ว่าส่วนหนึ่งที่เขามิได้มีความเจริญรุ่งเรืองในระดับ “แถวหน้า” ในช่วงวัยหนุ่มก็คือ เขาต้องทำงานอำนวยเพลงให้กับวงดนตรีหรือคณะอุปรากรในระดับชั้นรอง และมิได้เป็นการทำงานที่ยาวนานต่อเนื่อง เขาถูกเงาทะมึนของสองวาทยกรผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยอย่าง “เฟิร์ทเวงเลอร์” และ “ทอสกานินี” บดบังมาโดยตลอด ต้องลี้ภัยนาซีในช่วงสงครามโลกไปยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก เคลมเพอเรอป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมอง และในวัยกว่า 70 ปี ก็เกือบจะถูกไฟคลอกตายในขณะล้มป่วย สิ่งเหล่านี้บั่นทอนสุขภาพกายของเขาเป็นอย่างมาก แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าภัยคุกคามจนแทบเอาชีวิตไม่รอดนี้ ไม่อาจคุกคาม “ขุมทรัพย์ทางปัญญา” แห่งมันสมองอีกทั้งประสบการณ์ความคิดของเขาได้ เขายังคงเป็นศิลปินและนักคิดผู้มีความแหลมคมเฉียบขาดแบบที่เราอาจเรียกได้ว่า “คนโบราณ” คนโบราณที่มีความซื่อตรงต่อตนเอง และเทิดทูนต่อดนตรีและศิลปะ ปากคอเราะราย ใช้วาจาเชือดเฉือนบุคคลรอบข้างอย่างแสบสัน (หรือนี่อาจจะเป็นสาเหตุแห่งความไม่รุ่งในชีวิตวัยหนุ่ม?) อารมณ์ขันของเขาบาดลึกเป็นที่เลื่องลือ บุคลิกแบบคนโบราณที่ไม่ประจบเอาใจใคร
ความไม่ประจบเอาใจใครนี้สะท้อนมาถึงวิธีการตีความทางดนตรีของเขาอีกด้วย คงจะเป็นที่ยากต่อความเข้าใจของใครบางคนถ้าหากเราจะกล่าวว่า เคลมเพอเรอเป็นวาทยกรที่ไม่ใส่ใจกับ “ความงามในน้ำเสียง” ของวงออร์เคสตรา เราจะพบเรื่องบอกเล่าทางดนตรีในอดีตเสมอๆ ว่า เสียงของวงออร์เคสตราในอดีตภายใต้การอำนวยเพลงของวาทยกรแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันไป (งดงามต่างๆ กันไป) แต่ทั้งจากคำบอกเล่าและหลักฐานในงานบันทึกเสียงที่ตกทอดมาถึงยุคเรา มันบ่งบอกว่า เคลมเพอเรอไม่ให้ความสำคัญกับการทำให้วงออร์เคสตราของเขาเป็นวงที่มีน้ำเสียงไพเราะงดงาม (เสมือนวาจาอันเชือดเฉือนของเขา) อ้าว เมื่อไม่ทำให้วงเสียงเพราะแล้วเราจะไปฟังดนตรีของเขาหาพระแสงอะไร? คำตอบก็คือ เคลมเพอเรอมองข้ามความงามของน้ำเสียงไปแล้ว ความงาม, ความไพเราะของน้ำเสียงวงดนตรีจึงเป็นเพียง “กระพี้” ภายนอกทางดนตรีสำหรับเขา เมื่อเราฟังดนตรีของเคลมเพอเรอ เราจึงมุ่งไปสู่ “ดนตรี” ที่เป็นเนื้อในอย่างแท้จริง
สำหรับเคลมเพอเรอแล้ว ดนตรีกับชีวิตจริงดูจะมีอะไรๆ ที่สอดคล้องกันมาก ความจริงจัง (หรือแม้แต่จะกระเดียดไปถึงเคร่งเครียด), ความหนักแน่น, การไม่มุ่งประจบประแจงเอาใจใคร, การไม่มุ่งสร้างความพึงพอใจ (อันตื้นเขิน) สิ่งเหล่านี้ สะท้อนอยู่ในกระแสเสียงทางดนตรีของเขา ราวกับจะบอกว่าเราไม่ควรจะฟังดนตรีเพียงเพื่อเสพความงดงามทางเสียงแต่เราควรมุ่งไปที่สาระแก่นแท้ภายใน เซอร์ เนวิลล์ คาร์ดุส นักวิจารณ์เน้นย้ำเสมอว่า ราวกับเป็นความจงใจของ เคลมเพอเรอที่เขาได้พยายาม ปรับเสียงของวงออร์เคสตรามาสู่เสียงทึมๆ แบบ “ภาพขาว-ดำ” จนวาทยกรร่วมสมัยผู้โด่งดังชาวอังกฤษอย่าง “เซอร์โธมัส บีชัม” (Sir Thomas Beecham) เหน็บแนม เคลมเพอเรอว่าเป็นพวก “หูบอด” (Tone Deaf) นี่คือสิ่งสะท้อนภาพศิลปินผู้มุ่งเผยแพร่หลักธรรม-ปรัชญาทางศิลปะ ที่ไม่ต้องการให้ผู้ฟังดนตรีเกิดความหลงใหลหรือติดยึดกับรูป-รสภายนอก
อารมณ์ขันอันทั้งบาดลึกและผ่าซากของเขากับนักดนตรีเพื่อนร่วมงาน เป็นประเด็นที่น่าหยิบยกมาบอกเล่าเป็นอย่างยิ่ง บุคลิกภาพของเขาไม่ใช่ “ซุปเปอร์สตาร์” ใดๆ มันเป็นบุคลิกภาพของบุรุษผู้มั่นคง, เปล่งรัศมีที่เปี่ยมด้วยความรู้และกำลังภายในทางดนตรี ที่ไม่ต้องการเอาใจใคร และในทางตรงกันข้ามก็พร้อมที่จะชี้นำหรือแม้แต่จะครอบงำผู้ที่อยู่รอบข้างด้วยซ้ำไป เซอร์เนวิลล์ คาร์ดุส กล่าวว่า สายตาของเขาเสียดแทงทะลุทะลวงไปจนถึงนักดนตรีทั่ววง เมื่อเวลาซ้อมวงสิ้นสุดแล้วนักไวโอลินคนหนึ่งกระวนกระวาย อยากเลิกซ้อมเพื่อที่จะไปเที่ยวในบ่ายวันเสาร์ แต่เคลมเพอเรอก็ไม่รู้ไม่ชี้ ในที่สุดเขาจึงส่งภาษากายด้วยการยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูบ่อยๆ สักพักหนึ่ง เคลมเพอเรอก็ไม่อินังขังขอบใดๆ ถามกลับไปแบบไม่รู้ไม่ชี้ “เป็นยังไง มันยังเดินอยู่มั้ย?” หรืออีกคราหนึ่งเมื่อ เขาต้องการให้คนตีกลองคอยนับจังหวะให้แม่นยำ เขาตะโกนเน้นย้ำว่า “นับจังหวะด้วย, นับจังหวะด้วย” นักตีกลองเบื่อกับคำจ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้จากวาทยกร จึงตะโกนกลับไปว่า “โอ๊ย ไม่ต้องมาบอกหรอก นับมาทั้งชีวิตแล้ว” (ฮากันทั้งวง)ไม่ต้องยั้งคิด เคลมเพอเรอสวนกลับไปทันที “อ๋อเหรอ แล้วนับได้เท่าไหร่แล้วล่ะ?” (เสียงฮา น่าจะดังกว่าเดิม)
ลองไปฟังผลงานบันทึกเสียงของเคลมเพอเรอดูเถิด เราจะไม่เคยพบกับคุณลักษณะในแบบรื่นเริง, มีชีวิตชีวา หรือสนุกสนาน หรือแม้แต่น่าตื่นเต้น ในบทเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 (From the New World) ของ อันโตนิน ดวอชาค (Antonin Dvorak) ในท่อนที่สอง แนวทำนองคิดถึงบ้านโดยปี่คอร์อังเกลส์(Cor Anglais) อันเป็นที่ตราตรึงต่อแฟนเพลงทั่วโลกใครๆ ก็รู้ว่ามันคือ “แนวทำนองหลัก” อันไพเราะแบบจับขั้วหัวใจ แต่เคลมเพอเรอกลับมองข้ามมัน เขากลับไปให้ความสำคัญต่อส่วนเชื่อมต่อ (Transition) ที่บรรเลงโดยกลุ่มเครื่องสายที่ติดตามมา วาทยกรทั้งหลายและแฟนๆ เพลงก็รู้ว่ามันเป็นเพียงส่วนเชื่อมต่อ แต่เคลมเพอเรอกลับเน้นย้ำมันจนฉายแสงอย่างโดดเด่น มันกลายเป็นแนวทำนองแห่งความทุกข์ระทมของมวลมนุษยชาติ (ฤๅว่านี่คือแนวทำนองที่เคลมเพอเรอต้องการย้อนให้เห็นถึงความทุกข์ร้อนและการคร่ำครวญของชาวยิวจากชะตากรรมในสงครามโลกครั้งที่สองที่ตัวเขาประสบพบพานมาด้วยตนเอง) นี่คือตัวอย่างวิสัยทัศน์อันแหลมคมของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เห็นศักยภาพอันเจิดจรัสในสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น
อ็อตโต เคลมเพอเรอ กับดนตรีสีชืดๆ สีทึมๆ ประดุจภาพขาว-ดำ ดังที่เนวิลล์ คาร์ดุส กล่าวไว้ เชฟปรุงอาหารชั้นยอดมักไม่เติม “เครื่องชูรส” ใดๆ ลงไปในอาหารของเขา และมักจะไม่ปรุงอาหารให้เกิดรสชาติจัดจ้าน, ร้อนแรง ในทางตรงกันข้าม เขากลับมุ่งมั่นกระทำทุกวิถีทางในอันที่จะดึงรสชาติเนื้อในและธำรงคุณค่าของอาหารดั้งเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด, วัตถุดิบชั้นดีมีรสชาติ (และคุณค่าทางอาหาร) อันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของมันอยู่ในตัวเอง เชฟผู้ยิ่งใหญ่จะตระหนักดีในปรัชญาความคิดนี้ เขาจึงไม่พยายามปรุงแต่งมันให้มากเกินควรจนไปทำลายรสชาติและคุณค่าดั้งเดิม นี่คือปรัชญา “การกลับคืนสู่ธรรมชาติ”, ความสงบ หรือแม้กระทั่ง “ความว่างเปล่า” อ็อตโต เคลมเพอเรอ ก็เฉกเช่นเดียวกัน