‘อดีตผอ.ร.ร.’ ถูกติดป้ายประจาน ยันไม่เคยเบี้ยวหนี้ ‘หญิงรับเหมา’ ยันโปร่งใส-ตรวจสอบได้

อดีตผอ.โรงเรียนกมลไสยเปิดใจจ้างผู้รับเหมาปรับปรุงภูมิทัศน์พัฒนาโรงเรียนเพื่อเอื้อต่อการเรียนการสอน ยันไม่เคยเบี้ยวหนี้ผู้รับเหมาและจ่ายค่าจ้างตลอดไม่เคยมีปัญหา ยันไม่มีการทุจริต พร้อมถ้าตรวจสอบ

จากกรณีนางวิจิตรา บุญรัตน์ หรือ ยายแก้ว อายุ 51 ปี ผู้รับเหมาหญิง ชาว ต.ห้วยโพธิ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์นำป้ายไวนิลขนาดใหญ่ ซึ่งมีข้อความคล้ายกับเป็นการทวงหนี้ระบุว่า “ผอ.สั่งทำงาน งานเสร็จ ไม่มีเงินจ่าย ใครจะรับผิดชอบ” และ “ผอ.เห็นพวกเราเป็นคนมั้ย สงสารพวกเราบ้างหรือเปล่า”มาติดไว้บนสะพานลอย ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองกาฬสินธุ์ เนื่องจากต้องการขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่ 24 หลังก่อสร้างปรับปรุงโรงเรียนจนแล้วเสร็จหลายโครงการ เวลาผ่านมานานกว่า 3 ปีแล้ว แต่ทางโรงเรียนกลับไม่ยอมจ่ายเงินจำนวน 5,200,000 บาท จนทำให้ครอบครัวเป็นหนี้สินที่นาถูกยึดไม่มีเงินจ่ายค่าแรงคนงาน

— เจอแล้ว!! มือดีเขียนป้ายทวงหนี้ประจานผอ.ที่แท้หญิงรับเหมา ถูกเบี้ยวหนี้ 5 ล.จ่อถูกธนาคารยึดบ้าน
— รับเหมาหญิงติดป้ายทวงหนี้ ผอ.เปิดใจ ถูกเบี้ยวค่าสร้าง รร. หนี้ 5 ล้าน ดอกเบี้ยบาน นาถูกยึด

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นายสุรปรีชา ลาภบุญเรือง ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นอดีตผอ.โรงเรียนกมลาไสย กล่าวว่า ตนย้ายมาดำรงตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนกมลาไสยเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557 ก่อนหน้าที่ตนจะย้ายมานั้น ทางโรงเรียนได้มีหนี้ผูกพันบางส่วนมาก่อนแล้ว แต่ตามสปิริตและภาระหน้าที่ของผู้อำนวยการ จำเป็นต้องดำเนินการบริหารงานพัฒนาโรงเรียนอย่างเต็มความสามารถ โดยระหว่างที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกมลาไสยประมาณ 2 ปีนั้น นอกจากจะมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาการเรียนการสอนทางด้านวิชาการแล้ว ยังได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ให้โรงเรียนน่าอยู่ เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอน ให้สถานที่ต่างๆเป็นห้องเรียนธรรมชาติ และเด็กนักเรียนได้จัดกิจกรรม เนื่องจากสภาพบริเวณโดยรอบนั้นมีหญ้ารก คลองน้ำ และไม่เหมาะสมสวยงาม

Advertisement

“โดยการดำเนินงานโครงการต่างๆ ถูกบรรจุอยู่ในแผนงบประมาณ หากโครงการใดวงเงินเกินจะใช้งบบริหารหรืองบเร่งด่วน ที่ทางโรงเรียนจัดสรรไว้ร้อยละ 10 ไปอุดหนุน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความเห็นชอบจากคณะผู้บริหาร ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาทุกโครงการ ทั้งนี้ การดำเนินการในช่วงดังกล่าว ได้มีการจ่ายค่าจ้างให้กับผู้รับเหมา ร้านค้าวัสดุอุปกรณ์และค่าเช่าคอมพิวเตอร์มาโดยตลอด เฉลี่ยปีละ 4-6 ล้านบาท ซึ่งไม่เคยมีปัญหาการของการทวงหนี้ แต่การจ่ายเงินค่าจ้างจะเป็นการจ่ายแบบงานที่ค้างเก่า เพราะการดำเนินการของโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะนี้ผูกพัน” นายสุรปรีชา กล่าว

Advertisement

นายสุรปรีชา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของนางวิจิตรา บุญรัตน์ หรือ ยายแก้วนั้น ถือเป็นผู้รับเหมาที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในโรงเรียนมานานหลายปี จนถือได้ว่าเป็นขาประจำ ก่อนที่ตนย้ายมาทราบว่าทางโรงเรียนเป็นหนี้ยายแก้วประมาณเกือบ 4 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ตนเป็นผอ.โรงเรียนกมลาไสย ยอมรับว่าทางโรงเรียนได้ว่าจ้างยายแก้วจริง แต่ได้มีการจ่ายเงินให้กับยายแก้วเป็นค่าก่อสร้างทุกปีเฉลี่ยประมาณ 5-7 แสนบาท รวมทั้งผู้รับเหมารายอื่นเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้ มีความสุข มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจของตนเอง และเลี้ยงครอบครัว ซึ่งไม่เคยมีปัญหา แต่หลังจากที่ตนย้ายออกมาแล้วในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2559 ซึ่งเป็นช่วงภาคเรียนที่ 2 ไม่ทราบว่าผู้บริหารชุดใหม่ดำเนินการอย่างไร เพราะตนหมดอำนาจหน้าที่ในโรงเรียนแล้ว จนกระทั่งมาทราบล่าสุดว่ามีผู้รับเหมาเข้าไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมและไปติดป้ายทวงหนี้ดังกล่าว

“ผมยืนยันว่าโครงการต่างๆที่ทำลงไปนั้นต้องการพัฒนาปรับปรุงสถานศึกษาให้น่าอยู่ น่าเรียน ซึ่งหลังจากย้ายมาวัสดุอุปกรณ์ทุกอย่างก็ไม่ได้ถือติดไม้ติดมือมาด้วย อยู่ที่โรงเรียนทั้งหมด และเงินทุกบาททุกสตางค์ก็ไม่ได้นำมาใช้สร้างบ้านส่วนตัวผม อีกทั้งทุกโครงการก็มีการนำเข้าแผนและได้รับการเห็นชอบจากหลายฝ่าย การก่อสร้างหรือจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ก็ทำตามระเบียบ ไม่มีการทุจริตสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งได้จ่ายเงิน ไม่เคยเบี้ยวใคร และหลวงไม่ได้เสียหายอีกด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้สังคมมองว่าตนเบี้ยวหนี้ ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะจ่ายตลอด ส่วนระยะหลังมา 2-3 ปีนี้ตนไม่ทราบการบริหารงาน” นายสุรปรีชา กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image