‘จ่าแดง’ ปัดทำร้ายเมียดับ ชี้ทะเลาะกันก่อนผลักล้ม พ่อผู้ตายลั่นไม่ต้องมาขอขมา!
จากกรณี ที่ นางสมจินตนา กองโฉม อายุ 51 ปี อยู่ เลขที่ 57 ถ.เทศบาล 5 หลังวัดดาวเรือง เขตเทศบาลเมืองสระบุรี นอนเสียชีวิตทีเตียงนอนในบ้าน ขณะที่ ข้างศพ มี สามี นายวิสุทธิชัย มีประทีป อายุ 60 ปี หรือ จ่าแดง (ทหาร) นอกราชการสังกัดค่ายทหารม้าสระบุรี เป็นสามีผู้ตายอยู่ในสภาพเมาสุรานอนอยู่ข้างศพนั้น
อ่านข่าว – อดีตจ่าทหาร พลั้งมือทุบเมียดับ แต่ยังมึน นอนกอดศพไม่รู้เรื่อง
ความคืบหน้าล่าสุด ล่าสุด ร.ต.อ.สุเมต ทองทับ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองสระบุรี เผยว่า ตอนนี้ ทางตำรวจจะลงพื้นที่ในที่เกิดเหตุที่บ้านดังกล่าว เพื่อเก็บหาหลักฐานเพิ่มเติมและหาพยานสิ่งแวดล้อมในที่เกิดเหตุมารวบรวม เพื่อที่จะออกมายจับตัวผู้กระทำความผิดในครั้งนี้
ขณะเดียวกันทางผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจที่บ้านที่เกิดเหตุดังกล่าว ซึ่งภายในบ้านยังอยู่สภาพเดิม ไม่มีการโยกย้ายเคลื่อนไหวข้าวของแต่อย่างใด โดยพ่อของผู้ตาย (สงวนนาม) เผยว่า ตนเองรู้สึกเสียใจในครั้งนี้ที่ลูกเขยมาฆ่าลูกสาวตน ปกติ จ่าแดงเวลาเมาก็จะทำร้ายลูกสาวประจำ ตนเคยมาต่อว่าตักเตือน ก็เกือบถูกจ่าแดงทำร้ายเหมือนกัน จนไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่นิ่งเฉย กระทั่งมาทราบว่าจ่าแดงทำร้ายลูกสาวตนเสียชีวิต ส่วนผู้สื่อข่าวถามว่าอยากให้จ่าแดงมาขมาศพลูกหรือไม่ พ่อผู้ตายบอกว่า ไม่อยากเห็นหน้า
ส่วนศพ ของ นางสมจินตนา กองโฉม อายุ 51 ปี นั้น ตอนนี้ยังไม่ได้นำกลับมาจากโรงพยาบาล จ. นครนายก ซึ่งคาดว่าจะมาวันนี้ โดยศพตนจะนำมาไว้ที่ วัดดาวเรือง เมือง สระบุรี
จากนั้น ผู้สื่อข่าวเดินทางมาที่ สภ.เมือง สระบุรี ที่ห้องสืบสวนตำรวจเมืองสระบุรี ซึ่งเป็นที่พักคุมตัว จ่าแดง เพื่อรอการสอบสวน โดยจ่าแดงเผยว่า เมื่อวานนี้ (25 ต.ค.) ตั้งแต่เช้า 7 โมง ตนนั่งกินเหล้ากับเพื่อนและผู้ตายภรรยา รวม 3 คนรวม 3 ขวดที่ร้านค้าข้างบ้าน จากนั้นช่วงเย็นตนกับผู้ตายเดินทางกลับมาที่บ้าน เข้ามาในบ้าน ตนหิวข้าว จึงได้ถามภรรยาว่า ทำไมไม่ชื้อกับข้าวมากิน ทำให้มีปากเสียงทะเลาะกันขึ้นมา ตนจึงผลักผู้ตายล้มไปกับพื้นปูนในห้อง จากนั้นตนก็อุ้มผู้ตายเดินไปที่เตียงนอน ซึ่งตนไม่รู้ว่าภรรยาของตนเสียชีวิตในตอนนั้น จนกระทั่งช่วงค่ำมีตำรวจมาพาตนไปโรงพัก
ทางด้าน จ่าแดง เผยต่อว่า ตนไม่ได้ทำร้ายผู้ตายหรือชกต่อยแต่อย่างใด เพียงในตอนนั้นตนกับผู้ตาย(ภรรยา)ก็เมาพอๆกัน
อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสอบสวนหาหลักฐาน และพยานในที่เกิดเหตุเพื่อออกหมายจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป
