อดีตอธิการบดี มมส ยื่นหนังสือขอเข้ารับราชการ หลังศาลปกครองขอนแก่นพิพากษาพ้นมลทิน
เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ห้องงานสารบรรณ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส) นายศุภชัย สมัปปิโต อดีตรองศาสตราจารย์ สังกัดคณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เข้ายื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่งานสารบรรณ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อขอให้มหาวิทยาลัยมหาสารคามดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่นให้รับกลับเข้าทำงาน ภายหลังคำพิพากษาศาลปกครองขอนแก่นให้มหาวิทยาลัยมหาสารคามรับกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิม หรือเทียบเท่า นับตั้งแต่เวลาที่ถูกไล่ออกจากราชการ
นายศุภชัยกล่าวว่า ตามที่ศาลปกครองขอนแก่นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ 4943/2559 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2559 ที่ลงโทษไล่ตนและพวกออกจากราชการ และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ร้องทุกข์ของ อว. และให้ดำเนินการให้ตนกลับเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ไล่ออกจากราชการ รวมระยะเวลา 81 เดือน วันนี้จึงนำคำพิพากษาดังกล่าวมายื่นต่อมหาวิทยาลัยให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งต่อไป
นายศุภชัยกล่าวว่า ผลของคำพิพากษาดังกล่าวมีความผูกพันระหว่างตนกับ มมส และโดยระเบียบของที่ประชุมตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 137 กำหนดว่า “ในกรณีที่ศาลพิพากษาและกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนคำสั่ง ย่อมมีผลให้คำสั่งนั้นถูกเพิกถอนโดยไม่ต้องมีการบังคับคดี” ถือว่าคำพิพากษาของศาลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ หากมหาวิทยาลัยและผู้เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการใดๆ ก็จะขอใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับตน
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจอเรื่องราวมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นธรรมดาในชีวิตข้าราชการที่ต้องอุทิศตัวเพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นด้านการสอน วิจัย และงานบริหาร ตนเป็นรองอธิบดี 4 ปีกว่า เป็นอธิการบดีและรักษาการอธิการบดีรวม 7 ปี ได้ทำคุณงามความดีและความเจริญรุ่งเรืองให้กับมหาวิทยาลัย แต่มีขบวนการกลั่นแกล้ง ทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินชีวิตข้าราชการ ถือเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจข้าราชการเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจจะเกิดเหตุไม่ใช่แค่ตน แต่อาจมีคนอื่นๆ อีกหลายคน
“อยากให้คดีนี้เป็นอุทาหรณ์ว่าความดี ความซื่อสัตย์ สุจริต และความจริงเท่านั้นที่จะทำให้เรายืนหยัดอยู่ และผู้ที่คอยพิทักษ์ความยุติธรรมของเราก็คือศาลปกครอง หรือศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงขอให้ข้าราชการทั้งหลายที่เป็นข้าราชการที่สุจริตยืนหยัดต่อสู้ทำงานให้กับประเทศชาติต่อไป” นายศุภชัยกล่าว
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว ป.ป.ช.เคยมีหนังสือคำสั่งให้ นายศุภชัย สมัปปิโต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กับพวก กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยทุจริตอนุมัติการเบิกจ่ายค่าจ้างก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มมส ล่วงหน้า เป็นเงิน 13,333,330 บาท เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ตามคำของของผู้รับจ้าง ทั้งที่ยังไม่ได้ตรวจสอบหนังสือสัญญาค้ำประกันสัญญา หนังสือค้ำประกันการรับเงินค่าจ้างล่วงหน้า และยังไม่ได้รับใบเสร็จรับเงินค่าจ้างล่วงหน้าจากผู้รับจ้าง รวมทั้งละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อยุติความเสียหาย ทั้งที่ทราบว่าหนังสือค้ำประกันดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม และไม่ดำเนินคดีใดๆ กับผู้รับจ้าง เมื่อผู้รับจ้างทิ้งงานก่อสร้าง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้รับพิจารณา และดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐาน โดยที่ประชุม ป.ป.ช.ได้ส่งหนังสือมาที่ มมส ให้คณะกรรมการบริหารงานบุคคล หรือ ก.บ.ม. พิจารณาลงโทษวินัยร้ายแรง พร้อมสำนวนการสอบสวน จำนวน 137 หน้า
ก่อนที่ประชุม ก.บ.ม.จะมีการประชุมวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 ครั้งที่ 16/2559 ปรากฏว่า มมส ไม่ได้นำสำนวนการไต่สวน จำนวน 137 หน้า ให้คณะกรรมการได้พิจารณาข้อเท็จจริงก่อนการลงโทษ ซึ่งทราบภายหลังว่าเพราะมีคณะกรรมการได้ทักท้วงแล้ว แต่ก็มีการแจ้งในที่ประชุมให้พิจารณาลงโทษไปก่อน ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงอยู่ในรายงานการประชุม อีกทั้งยังมีคณะกรรมการทักท้วงว่าหากยังไม่ได้อ่านเอกสารไต่สวน กรรมการจะทราบได้อย่างไรว่านายศุภชัยกระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบอย่างไร ในการประชุมครั้งดังกล่าวมีการอภิปรายในที่ประชุมอย่างกว้างขวาง และปิดประชุมไปโดยไม่มีการลงมติ
จากนั้น วันที่ 2 ธันวาคม 2559 อธิการบดี มมส ในขณะนั้น ได้ลงนามในคำสั่งไล่นายศุภชัย และพวก ออกจากราชการ ประกอบด้วย ข้าราชการ 4 คน และพนักงาน 1 คน ซึ่งมีผลทันที นายศุภชัยเห็นว่าการกระทำดังกล่าว ไม่ได้รับความยุติธรรม จึงเดินหน้าฟ้องคดี เพื่อขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามและให้กลับเข้ารับราชการตามเดิม โดยใช้เวลาต่อสู้นานถึง 81 เดือน
นายศุภชัยเป็นผู้ฟ้องคดีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ขอนแก่น ภาค 4 โดยมีจำเลยคือประธาน ก.บ.ม., กรรมการและเลขานุการ ก.บ.ม., กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ก.บ.ม. ต่อมา ศาลตัดสินเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 ว่าการที่ยังไม่มีมติ ก.บ.ม.ในการลงโทษ และจำเลยทั้ง 3 ร่วมกันลงนามรับรองเอกสารรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ ถือว่าจำเลยทั้ง 3 กระทำความผิดจริง พิจารณาลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (21 กันยายน) ศาลปกครองขอนแก่นนัดพิจารณาตัดสินมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากพฤติกรรมและพฤติการณ์ของนายศุภชัยไม่ครบองค์ประกอบของความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ทั้งยังรับฟังไม่ได้ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบแผนของทางราชการ ตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูล ในการไต่สวนข้อเท็จจริงก็ไม่พบความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แต่ ป.ป.ช.กับชี้มูลความผิดทางวินัยฐานอื่น และสั่งพิจารณาโทษทางวินัยร้ายแรง
การที่ มมส มีคำสั่งไล่นายศุภชัยออกจากราชการ โดยอาศัยคำชี้มูลของ ป.ป.ช. ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการมีมติยกอุทธรณ์ร้องทุกข์ที่ตนได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยและอุทธรณ์ร้องทุกข์ร้องทุกข์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน พิพากษาเพิกถอนคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ 4943/2559 ลงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2559 เฉพาะส่วนที่ลงโทษไล่ตนออกจากราชการ และเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ที่ยกคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังไปนับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาว่าให้มหาวิทยาลัยมหาสารคามไปพิจารณาดำเนินการให้ตนกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่า นับตั้งแต่เวลาที่ถูกไล่ออกจากราชการ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง