กระเช้าภูกระดึง ไทม์ไลน์ 41 ปี เศรษฐกิจ หรือระบบนิเวศ จุดลงตัวคือตรงไหน
กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง สำหรับกระเช้าภูกระดึง ที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ใช้โอกาสการเดินทางไปประชุมครม.สัญจร ที่จ.หนองบัวลำภู ปัดฝุ่นขึ้นมาพิจารณาอีกรอบ
และได้รับคำยืนยันว่าได้อนุมัติเห็นชอบในหลักการ ภายใต้วงเงิน 28 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามถือเป็นเพียงก้าวแรก “อีกครั้ง” เท่านั้น เพราะหากจำกันได้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่กระเช้าขึ้นภูกระดึงถูกหยิบยกมาพูดถึง ทั้งในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคม การอนุรักษ์ธรรมชาติ ตลอดจนเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในชุมชน
ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน!??
ว่าแล้ว มาย้อนไทม์ไลน์ที่ถือได้ว่าเป็นมหากาพย์ฉบับที่เขียนมาแล้ว 41 ปี ยังไม่มีตอนจบ
30 สิงหาคม 2525 : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เสนอกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ให้พิจารณานำระบบขนส่งขึ้น-ลงอุทยานฯ โดยใช้ยานพาหนะซึ่งเดินทางโดยสายเคเบิลมาใช้
3 พฤษภาคม 2526 : วิจารณ์ วิทยศักดิ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึงในขณะนั้น นำเสนอแนวคิดและรายละเอียดข้อมูลเบื้องต้น
11 ตุลาคม 2526 : คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติมีมติ ‘เห็นชอบในหลักการ’ แต่ให้ศึกษาในรายละเอียดเกี่ยวกับความเหมาะสมทั้งในแง่ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและในด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
พ.ศ.2528 : คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และกำหนดเส้นทางไว้ 3 แนวทางเผื่อเลือก ได้แก่
1.เริ่มต้นจากบริเวณใกล้เคียงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐานและสิ้นสุดที่บริเวณหลังแป
2.เริ่มต้นบริเวณเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ในบริเวณพื้นที่ป่าธรรมชาติและยังไม่มีการก่อสร้างถนนเข้าถึงพื้นที่
3.เริ่มต้นบริเวณบ้านนาน้อย อ.ภูกระดึง จ.เลย สิ้นสุดบริเวณผาหมากดูก
ผลการศึกษาในครั้งนั้น มีข้อสรุปว่า ทางเลือกที่ 1 เหมาะสมที่สุด เพราะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และสะดวกต่อการดูแลควบคุมของอุทยานฯ โดยเสนอแนะว่าการสร้างกระเช้าไฟฟ้าเป็นทางเลือกหนึ่งที่สมควรดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มทุกวัยในการเดินทางขึ้น-ลงภูกระดึง สามารถใช้เป็นเครื่องมือจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปพักแรมบนยอดภูกระดึงและแก้ปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยว ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและชีวภาพ รวมทั้งการขนถ่ายขยะมากำจัด และนักท่องเที่ยวที่เจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุลงสู่พื้นที่ตอนล่างได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า มีเสียงคัดค้านจากกลุ่มองค์กรอนุรักษ์ภาคประชาชนและคนในท้องถิ่นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มลูกหาบและผู้เสียผลประโยชน์จากการมีกระเช้าไฟฟ้า
พ.ศ.2541 : กรมป่าไม้ มอบหมายให้ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียร์ จำกัด ดำเนินการโครงการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบและวิธีการจัดการด้านนันทนาการการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โดยมีผลการศึกษาและกำหนดรูปแบบเบื้องต้นของกระเช้าไฟฟ้าและองค์ประกอบต่างๆ ที่เหมาะสมใน 3 เส้นทางเช่นกัน ได้แก่
1.เริ่มต้นบริเวณใกล้เคียงลานจอดรถสำรวจของศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐานไปสิ้นสุดบริเวณหลังแปใกล้เคียงทางเดินเท้าขึ้น-ลงภูกระดึง มีความยาวตามแนวลาดชันประมาณ 3,675 เมตร
2. เริ่มต้นบริเวณพื้นที่ป่าเบญจพรรณในเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ด้านทิศตะวันตก ไปสิ้นสุดบริเวณทุ่งหญ้าใกล้เคียงที่เรียกว่า ‘คอกเมย’ มีความยาวตามแนวลาดชันประมาณ 4,175 เมตร
3. เริ่มต้นบริเวณป่าเบญจพรรณใกล้เคียงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติอีเลิศ ไปสิ้นสุดบริเวณทุ่งหญ้าบริเวณที่เรียกว่า ‘ช่องขอน’ มีความยาวตามแนวความลาดชันประมาณ 4,750 เมตร
ผลการศึกษาสรุปได้ว่า เส้นทางที่ 1 มีความเหมาะสมมากที่สุดเนื่องจากมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
สำหรับรูปแบบกระเช้าไฟฟ้าเป็นรูปแบบเก๋ง ลักษณะการทำงานใช้สายเคเบิลขึงระหว่างสถานีต้นทางและสถานีปลายทาง ผู้โดยสารไม่สามารถเปิด-ปิดประตูได้ด้วยตนเองจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง จะต้องก่อสร้างเสารองรับ 16 จุด ในพื้นที่การก่อสร้าง 5,850 ตารางเมตร หรือ 3.16 ไร่
26 ธันวาคม 2545 : คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนจังหวัดเลย (กรอ.จังหวัดเลย) ประชุมหารือโดยใช้ข้อมูลจากการศึกษาข้างต้น โดยคาดว่าการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวเฉลี่ยได้วันละ 20,000 คน หรือปีละ 7 ล้านคน
28 กันยายน 2548 : คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวสภาผู้แทนราษฎร สรุปผลการพิจารณาศึกษา โดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมคือ เส้นทางก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึงควรแยกออกจากทางเท้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวบางประเภทยังต้องการอนุรักษ์และหวงแหนเส้นทางเดิมอยู่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นักวิชาการ ชี้ กระเช้าภูกระดึง ดีต่อเศรษฐกิจ แต่ห่วงจัดการขยะไม่ทัน หากคนเที่ยวล้น
นายอำเภอชี้ คนภูกระดึง 99% ต้องการกระเช้า คาดช่วยโกยเงินท่องเที่ยวปีละ 7 หมื่นล้าน
นอกจากนี้ ยังเสนอว่า ต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอีก 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.ความเข้มงวดในการปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพดินและน้ำ
2.ปรับปรุงเส้นทางเดินเท้าควบคู่ไปกับการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้า เช่น การปูหินบริเวณทางขึ้นภูกระดึงเพื่อป้องกันไม่ให้เส้นทางเดินเท้าเกิดการขยายตัว
25 พฤศจิกายน 2553 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แจ้งให้อุทยานแห่งชาติภูกระดึงดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อเป็นข้อพิจารณาประกอบ คือ หากมีกระเช้าภูกระดึงจะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวอำเภอภูเรือ เชียงคาน ด่านซ้ายและนาแห้วเพิ่มขึ้นด้วย โดยการสร้างกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึงจะแยกนักท่องเที่ยวเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการเดินขึ้นภูกระดึงกับกลุ่มผู้สูงอายุที่เดินไม่ไหวก็ให้ขึ้นกระเช้าไฟฟ้า
4 ตุลาคม 2554 ในการประชุมโดยคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวภูมิภาคในคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยววุฒิสภาเกี่ยวกับนโยบายการสร้างกระเช้าไฟฟ้า ตัวแทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เสนอให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม (EIA) เพราะภูกระดึงมีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของไทย โดยวิเคราะห์ด้วยว่าแม้นักท่องเที่ยวจะขึ้นภูกระดึงด้วยกระเช้าไฟฟ้า หากไม่แข็งแรงจะเดินทางไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ อย่างไร เพราะมีระยะทางห่างไกลกันมาก ตั้งแต่ 2 กิโลเมตร 9 กิโลเมตร จนถึง 12 กิโลเมตร บนพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตร
22 กุมภาพันธ์ 2555 ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติให้ดำเนินการศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยา ฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ โดยนายกฯ ปู ระบุว่า ‘ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจเรื่องนี้’
กุมภาพันธ์ 2559 ในรัฐบาลคสช. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า คณะรัฐมนตรี รับทราบผลการศึกษาโครงการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ตามที่ครม.เคยมีมติให้ศึกษาเมื่อปี 2555 โดยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ได้จัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินโครงการศึกษาความเป็นไปได้ นำโดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับบริษัท แกรนด์เทค จำกัด และบริษัท ไทยซิสเทมเอนไว แอนด์ เอนจิเนียริ่ง จำกัด
โดยโครงการสร้างกระเช้าจะใช้งบประมาณ 633 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ปี ปีละกว่า 200 ล้านบาท
พล.อ.ธนะศักดิ์ ระบุในขณะนั้นว่าประชาชนในพื้นที่ ชาวบ้าน ภาครัฐ นักธุรกิจ ภาคเอกชน ยืนยันว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างรายได้มหาศาล สร้างงานเพิ่มขึ้นให้กับคนในพื้นที่ และจะทำให้นักท่องเที่ยวจะมีจำนวนมากขึ้น
4 ธันวาคม 2566 ในรัฐบาลเศรษฐาฯ ระหว่างการประชุมใน ครม.สัญจร หนองบัวลำภู ทางจังหวัดเลย นำเสนอโครงการสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นภูกระดึง ที่ประชุม ‘อนุมัติในหลักการ’ เพื่อนำไปเรียงลำดับพิจารณาความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณในการเขียนแบบก่อสร้างที่ใช้งบราว 28 ล้านบาท
ถือเป็นการเดินทางที่ยาวนาน 41 ปี ของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างภูกระดึง ที่คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าเป็นการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงทรัพยากรของคนในพื้นที่
ตลอดจนข้อท้วงติงเรื่องระบบนิเวศ การก่อสร้างที่อาจกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม การรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเมื่อการเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ปริมาณนักท่องเที่ยวย่อมเพิ่มขึ้นตาม
ปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อม ความแออัดหนาแน่นของนักท่องเที่ยว ที่จะส่งผลทั้งในเรื่องการบริหารจัดการขยะ จะดำเนินการอย่างไร เพือให้ภูกระดึง แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในตำนานได้อยู่อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
เป็นเรื่องที่รัฐบาล และผู้เกี่ยวข้องต้องหาทางออกร่วมกัน
และถึงวันนั้นเราจะได้เห็นกันว่าบทสรุปของเรื่องดังกล่าวจะเป็นอย่างไร!!