เพจดัง ชี้ทฤษฎี ‘ชาร์ลส์ ดาร์วิน’ ใช้กับการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติที่ใช้เวลานับแสนนับล้านปี

เพจดัง ชี้ทฤษฎี ‘ชาร์ลส์ ดาร์วิน’ ใช้กับการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติที่ใช้เวลานับแสนนับล้านปี

จากประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง เมื่อ โจ จิรายุส วรรธนะสิน หรือ โจ นูโว นักร้องชื่อดัง เข้ามาตอบคอมเมนต์แฟนคลับในอินสตาแกรมส่วนตัว ระบายถึงความเดือดร้อนที่ได้รับจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยหนุ่มโจได้ยกทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วิน ตอบคำถามของแฟนคลับจากบอกว่าจะตายอยู่แล้วถ้าทำมาหากินไม่ได้ รัฐเยียวยาไม่ทั่วถึง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

สุดอึ้ง! ‘โจ นูโว’ ตอบแฟนๆ ได้รับผลกระทบโควิด ยกทฤษฎีชาร์ลส์ ดาร์วิน ‘ตายได้ตายไปก่อนเลย’

ดร.ไชยณรงค์ สวนกลับ โจ นูโว ปมตอบแฟนคลับ ‘ตายไปก่อน’ เป็น ‘วิธีคิดที่ไม่เห็นคุณค่ามนุษย์’

Advertisement

ล่าสุด เพจดัง Drama-addict ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงทฤษฎีดังกล่าวว่า

ทฤษฎีของชาร์ล ดาร์วิน เกี่ยวกับการวิวัฒนาการ

เป็นเรื่องของการศึกษาสิ่งมีชีวิต ที่ใช้เวลานานมวากๆกว่าจะมีการคัดสรรจากธรรมชาติจนเกิดสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม เมื่อเกิดการแข่งขันของสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมนั้น และผู้ชนะถ่ายทอดลักษณะต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน จนเกิดการวิวัฒนาการทำให้เกิดสปีซีส์ใหม่

Advertisement

ทีนี้หลังจากชาร์ลดาร์วินเสนอทฤษฎีนี้ ปรากฏว่ามีคนเอาไปตีความใหม่ โดย เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ นักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ เอาไปตีความว่า ทฤษฎีของชาร์ลดาร์วิน ที่เขาหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตที่ใช้เวลานับหมื่นนับแสนปี สามารถเอามาใช้กับสังคมมนุษย์ได้

เลยเป็นการถือกำเนิดลัทธิ ดาร์วินทางสังคม Social Darwinism ประมาณว่า ในสังคมมนุษย์ คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด ส่วนพวกที่ด้อยกว่า ก็ควรจำกัดอย่าให้พวกนี้ได้สืบทอดพันธกรรมต่อไป

ไอ้หมอนี่มันสนับสนุนทฤษฎีนี้ ด้วยการเอาสถิติมาอ้างอิงว่า ดูเด่ะๆ ถ้าเป็นลูกคนรวย ลูกคนมีชื่อเสียง ตระกูลผู้ดี จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าพวกที่มาจากครอบครัวยากจนเยอะ

…..ซึ่งถ้าเรามองจากองค์ความรู้ยุคปัจจุบัน จะถือว่าการนำเสนอสถิติแบบนี้แม่งกวนส้นตีนมาก เพราะคนรวยการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆมันเหนือกว่าคนยากจนอยู่แล้ว ทั้งในแง่หน้าที่การงานการศึกษา บลาๆ เอามาเทียบงี้ได้ที่ไหน ถือเป็นการใช้สถิติที่โคตรรรๆๆๆๆๆๆ biased

แต่อีตาสเปนเซอร์ก็เอาสถิติที่ว่านี่ล่ะ มาโหมกระแสให้ทฤษฎีของตัวเอง จนคนหลงเชื่อกันมากมาย จนเกิดศาสตร์

Eugenics สุพันธุศาสตร์ ขึ้นมา (คำนี้หมายความว่า กำเนิดที่ดี)

หมายถึงศาสตร์ที่ถือว่า พันธกรรมคือสิ่งที่กำหนดตัวตนของมนุษย์ตั้งแต่อุปนิสัย รูปร่าง หน้าตา ความสามารถ ไปจนถึงขั้น …. เป็นตัวกำหนดว่า ใครควรมีชีวิตอยู่

แนวคิดของศาสตร์นี้คือ ความเกียจคร้าน ความโง่เขลา และข้อด้อยต่างๆของมนุษย์ พวกนี้เป็นสิ่งที่สืบทอดกันทางพันธกรรม ดังนั้นเพื่อให้สังคม มีแต่คนดีๆ เราก็ต้องกำจัดคนไม่ดี (ในเชิงพันธกรรม) ทิ้งให้หมด

และแนวคิดนี้ก็ขยายตัวเรื่อยๆจนถึงขั้นว่า ครั้งนึง
อเมริกาเคยออกกฏหมายตามศาสตร์นี้ ให้มีการทำหมันคนโง่ถึง 16 รัฐ
แม้แต่ญี่ปุ่น ก็ยังเคยมีกฏหมายทำหมันที่อิงตามกฏหมายสุพันธศาสตร์
ที่บังคับให้คนบางกลุ่มทำหมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ประชากรรุ่นหลังเกิดมาอย่างด้อยคุณภาพ

…..บ้าบอมาก จะว่านี่คือด้านโคตรมืดของการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการเลยก็ว่าได้ เมื่อมีคนเอาทฤษฎีไปตีความมั่วๆซั่วๆ และใช้สร้างความเดือดร้อนได้ขนาดนี้

แต่ต่อมาเมื่อการศึกษาเรื่องปัจจัยแวดล้อม การเลี้ยงดู ที่มีผลต่อคนเริ่มพัฒนา แนวคิด สุพันธุศาสตร์ก็ค่อยๆเลือนหายไปจากหลายๆประเทศ เพราะคนเริ่มรู้แล้วว่ามันไม่จริง และทฤษฎีของชาร์ลดาร์วิน เขาไม่ได้ให้เอามาประยุกต์ใช้ในแง่นี้ มันใช้กับการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติที่ใช้เวลานับแสนนับล้านปี

ซึ่งมันก็ควรจะหายไปแบบเงียบๆ จนกระทั่ง พรรคนาซี เถลิงอำนาจ และหยิบเอา ดาร์วินทางสังคม และสุพันธศาสตร์ไปใช้เป็นนโยบายของพรรคนั่นแหละ

ที่เหลือพ่อแม่พี่น้องคงพอเดาได้ว่าปลายทางของสุพันธศาสตร์มันลงเอยยังไง ใครสนใจอ่านเรื่องนี้ แนะนำให้ลองหาหนังสือที่อยู่ในภาพประกอบที่สองมาอ่าน แซ่บมากๆ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image