ตะกร้อ ลงดาบแบนโค้ชกมล พร้อมสต๊าฟโค้ช-ผจก. ขอแบ่งเงินนักกีฬา 10.1 ล้าน

ตะกร้อ ลงดาบแบนโค้ชกมล พร้อมสต๊าฟโค้ช-ผจก. ขอแบ่งเงินนักกีฬา 10.1 ล้าน

ความคืบหน้าเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเงินรางวัลอัดฉีดของนักกีฬาตะกร้อทีมชาติไทย หลังจากจบมหกรรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่นครหางโจว ประเทศจีน ซึ่งได้โพสต์ถึงเรื่องการทำข้อตกลงเงินแบ่งอัดฉีด 10.1 ล้านบาทของนักกีฬาตะกร้อ 30-50% จากเงินอัดฉีดที่นักกีฬาแต่ละคนได้รับจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยเรื่องนี้ “สารวัตรโจ้” พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ 1 ในคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาตะกร้อฯ ได้ช่วยเหลือนักกีฬาทีมชาติ พร้อมงัดเอาหลักฐานต่างๆ นั้น

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ “บิ๊กต้อม” นายธนา ไชยประสิทธิ์ นายกสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการประชุมสมาคม โดยมีวาระสำคัญในการตัดสินเรื่องการแบ่งเงินนักกีฬาทีมชาติ โดยมีจำนวนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน คือ ดร.สมพงษ์ ชาตะวิถี, รัฐชัย ดารากร ณ อยุธยา, สุพจน์ ตุ้มประชา, อ.สมชาย ประเสริฐศรี และ พล.ร.ท.บุญชิต พูลพิทักษ์ ร่วมประชุมที่โรงแรมอเล็กซานเดอร์ รามคำแหง กรุงเทพฯ

โดยในที่ประชุมมีมติให้หยุดทำหน้าที่ของผู้จัดการทีมและผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย แล้วให้ สุพจน์ ตุ้มประชา เป็นผู้จัดการทีมและหัวหน้าผู้ฝึกสอน ส่วนทีมผู้ฝึกสอน 4 คนคือ สามารถ โพธิ์ทอง, สมพร ใจสิงหล, ประเวศ อินทรา และ อธิยุต กิ้มทอง ซึ่งทั้งหมดนี้จะลงทำหน้าที่ในการแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลกที่ประเทศมาเลเซีย ในเดือนพฤษภาคม, คิงส์ คัพ ในเดือนกันยายน และ เอเชียนอินดอร์แอนด์มาร์เชียลอาร์ทเกมส์ ในเดือน พฤศจิกายน

Advertisement

นายธนา เปิดเผยหลังการประชุมว่า เรื่องเงินฉัดนักกีฬา เพื่อหาข้อเท็จจริง ได้นำเสนอข้อมูลถึงคณะกรรมการบริหารสมาคมแล้ว เพื่อให้กรรมการทุกท่านได้มีเวลาไปตรวจสอบว่าข้อมูลถูกต้อง และครบถ้วนหรือไม่ โดยหน้าที่ต่อไปคณะกรรมการบริหารของสมาคมจะนำเรื่องไปสรุปอีกครั้งหนึ่ง

“แต่วันนี้มีมติการแต่งตั้งเพื่อรองรับสำหรับการแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลกที่ประเทศมาเลเซีย ในเดือนพฤษภาคม, คิงส์ คัพ ในเดือนกันยายน โดยให้ สุพจน์ ตุ้มประชา เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนและผู้จัดการทีม ควบคุมโค้ชจากทหารบก และทหารอากาศ 4 รายมาทำหน้าที่คือ สามารถ โพธิ์ทอง, สมพร ใจสิงหล, ประเวศ อินทรา และ อธิยุต กิ้มทอง ซี่งจะควบการทำหน้าที่ไปพร้อมกันกับรายการ เอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาตส์เกมส์ ในเดือนพฤศจิกายน”

ขณะที่ ดร.สมพงษ์ ชาตะวิถี ประธานคณะกรรมการตัดสิน กล่าวว่า การหักเงินนั้นมาจากการปฎิบัติภารกิจร่วมกันซึ่งเป็นการเจรจาร่วมกันระหว่าง นักกีฬา โค้ช และ ผู้จัดการทีม โดยนักกีฬาได้ให้คำชี้แจงว่าเป็นการหักเงินที่มากเกินไป ก็เป็นกลุ่มนักกีฬาที่ได้ 2 เหรียญทองซึ่งจะได้เงินคนละ 4 ล้านบาท แต่ถูกหักออกไปคนละ 50% ทำให้เหลือเพียงคนละ 2 ล้าน หรือ เทียบเท่ากับได้ 1 เหรียญทอง ตอนนี้ก็พิจารณาแล้วว่าให้หยุดการทำงานของผู้จัดการทีมและผู้ฝึกสอนทันที

Advertisement

ด้าน พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ กล่าวว่า ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใครแต่อยากให้ทุกเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบที่ถูกต้อง ส่วนที่ประชุมก็ได้รับทราบแล้วว่าเงินจำนวน 10.1 ล้านบาทไปอยู่ที่ใคร แต่ก็รักษามารยาทในที่ประชุมว่าจะไม่ขอเปิดเผย แต่ทั้งหมดวันนี้ถือว่าจบลงแล้ว และเป็นที่น่าพอใจสำหรับคำตัดสินของสมาคมในการให้ทีมผู้ฝึกสอนชุดเก่าและผู้จัดการทีมหยุดปฏิบัติหน้าที่

ทั้งนี้ นับเป็นการยุติบทบาทการทำหน้าที่ของโค้ชกมล ตันกิมหงษ์ ที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนทีมตะกร้อทีมชาติไทยมาอย่างยาวนาน หลังจากที่มีเรื่องเกี่ยวพันกับการหักหัวคิวเงินรางวัลของนักกีฬาตะกร้อทีมชาติไทย ในศึกเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่ผ่านมา

สำหรับหลักฐานการแบ่งเปอร์เซ็นต์เงินอัดฉีดเอเชียนเกมส์ของนักกีฬาตะกร้อทั้งทีมชายและทีมหญิง ในประเภททีมชายได้ 2 เหรียญทอง จากทีมเดี่ยว กับ ทีมชุด รวมเงินที่ได้จากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ 34 ล้านบาท แบ่งเป็นนักกีฬา 5 คนที่เล่นทีมเดี่ยวกับทีมชุดจะได้คนละ 4 ล้านบาท และนอกนั้นอีก 7 คนที่เล่นแค่ทีมชุดจะได้คนละ 2 ล้านบาท เข้าสู่กระบวนการแบ่งเงินอัดฉีดตามข้อตกลงภายในทีมปรากฏว่า คนที่เล่นทีมชุด 7 คนจะได้ตามปกติคือคนละ 2 ล้านบาท แต่คนที่เล่นทีมเดี่ยวได้เงินคนละ 2.1 ล้านบาท ส่วนเงินจำนวน 9.5 ล้านที่หักออกจากทีมเดี่ยวจะแบ่งให้ 1.ให้นักกีฬา 3 คนที่เดินทางไปจีนด้วยแต่ไม่ได้ลงแข่ง ซึ่งทั้ง 3 คนจะได้คนละ 1.3 ล้านบาท รวมเป็น 3.9 ล้านบาท และ 2.ให้กับนักกีฬาที่เป็นคู่ซ้อมจำนวน 9 คน ซึ่งทั้ง 9 คน จะได้คนละ 2.5 แสนบาท รวมเป็น 2.25 ล้านบาท

โดยทั้ง 2 ข้อนี้ นักกีฬาทีมชายให้เหตุผลว่าเป็นน้ำใจที่เต็มใจแบ่งให้รวมกันคือ 6.15 ล้านบาท แต่เมื่อหักลบจากเงินจำนวน 9.5 ล้านบาท ปรากฏว่าเหลือเงินอีกจำนวน 3.35 ล้านบาท ที่ยังเป็นคำถามว่าหายไปไหน?

ขณะที่ทีมหญิงก็ได้รับเงินอัดฉีดเท่ากับทีมชายเพราะได้ 2 เหรียญทอง (ทีมเดี่ยว กับ ทีมชุด) จำนวน 34 ล้านบาท แบ่งเป็นนักกีฬา 5 คนที่เล่นทีมเดี่ยวกับทีมชุดจะได้คนละ 4 ล้านบาท และนอกนั้นอีก 7 คนที่เล่นแค่ทีมชุดจะได้คนละ 2 ล้านบาท

แล้วเมื่อเข้ากระบวนการแบ่งเงินอัดฉีดตามข้อตกลงภายในทีม ปรากฏว่า นักกีฬาทีมเดี่ยว 5 คน ได้คนละ 2 ล้านบาท และนักกีฬาทีมชุด 7 คน กับ นักกีฬา 3 คนที่เดินทางไปจีนด้วยแต่ไม่ได้ลงแข่งขันได้คนละ 1.5 ล้านบาท รวมแล้ว 25 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 9 ล้านบาทจะมีการแบ่งให้นักกีฬาคู่ซ้อมจำนวน 9 คน คนละ 2.5 แสนบาท รวมเป็น 2.25 ล้านบาท ทำให้เหลือ 6.75 ล้านบาท ซึ่งก็ยังเป็นคำถามเหมือนกันว่าหายไปไหน?

สรุปได้ว่าเงินของทีมชายหายไปจำนวน 3.35 ล้านบาท และของทีมหญิงหายไปจำนวน 6.75 ล้านบาท โดยเงินทั้ง 2 ก้อนนี้ไม่ได้มีรายงานว่าแจกแจงไปยังนักกีฬาคนไหนเลย ทำให้ “สารวัตรโจ้” ตั้งข้อสังเกตว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่ควรเป็นของนักกีฬาอยู่ที่ใคร และเรื่องการหักเงินอัดฉีดนักกีฬาอย่างไม่เป็นธรรมได้เข้าสู่กระบวนการของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘หักหัวคิว’ เงินรางวัลนักกีฬา ฉาวอีกที่ ‘หางโจวเกมส์’

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image