สกู๊ปพิเศษ : แข้งยู-23มีโอกาสไหม? กับตั๋วสู่โอลิมปิกโตเกียว2020

ว่ากันด้วยฟุตบอล โอลิมปิกเกมส์ กับประเทศไทยนั้น ในอดีตที่ผ่านมา ทัพนักเตะไทยสามารถจารึกชื่อตัวเองว่าไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์รอบสุดท้ายได้เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น คือเมื่อปี 1956 ครั้งนั้นจัดขึ้นที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เป็นครั้งแรกที่ทีมไทยสามารถผ่านเข้าไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์ได้

โดยครั้งนั้นแข่งแบบน็อคเอาท์ซึ่งไทยถูกจับสลากมาเจอกับ สหราชอาณาจักร ต้นตำรับเกมลูกหนัง ก่อนจะพ่ายไปแบบยับเยินถึง 0-9 ด้วยกัน

ส่วนครั้งที่สองนั้นเกิดขึ้นในอีก 8 ปีต่อมา ในโอลิมปิกเกมส์ 1968 ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก ครั้งนั้นเล่นกันแบบแบ่งกลุ่ม ไทยอยู่ในกลุ่มเดียวกับ กัวเตมาลา, บัลแกเรีย และ เช็กโกสโลวะเกีย แม้ว่าผลงานของทีมไทยจะพ่ายทั้ง 3 นัด

แต่ก็มีประตูประวัติศาสตร์จาก อุดมศิลป์ สอนบุตร ที่ยิงได้ในเกมแพ้กัวเตมาลา 1-4 และเป็นประตูเดียวของไทยในโอลิมปิกเกมส์เท่านั้น

Advertisement

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว นับเป็นอีกหนึ่งโอกาสดีของทัพนักเตะไทยที่จะคว้าตั๋วไปโอลิมปิกเกมส์ได้ เนื่องจากเป็นช่วงขึ้นมาของโกลเด้นเจนเนอเรชั่นยุคปัจจุบัน ทั้ง “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์, “ตั้ม” ธนบูรณ์ เกษารัตน์, “ต้น” นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม และ “นิว“ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เป็นต้น

ภายใต้การนำทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทุกคนคาดหวังว่าไทยน่าจะมีลุ้นถึงตั๋วไปโอลิมปิกเกมส์ได้ หลังจากจบอันดับ 4 ในเอเชี่ยนเกมส์ 2 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ตั๋วไปโอลิมปิกเกมส์ ผลงานของนักเตะไทยชุดนั้นก็ถือว่าน่าประทับใจ เพราะว่าตกรอบด้วยประตูได้เสียที่เป็นรองเท่านั้น

ครั้งนี้จัดว่าเป็นอีกครั้งที่เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนตั้งความหวังเอาไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากว่าเราลงทุนแย่งรายการนี้มาจัดที่เมืองไทยได้ สร้างความได้เปรียบจากการเป็นเจ้าบ้าน รวมถึงการเป็นทีมวางที่มีโอกาสจะเข้รอบต่อไปสูง

Advertisement

ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสของไทยจะมากขึ้นอีกถ้าหากว่าไม่เจอกับญี่ปุ่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ แล้วสามารถเข้ารอบตัดเชือกไปพร้อมกับ ญี่ปุ่น เจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ได้ ก็เท่ากับว่าไทยจะได้ตั๋วอัตโนมัติทันทีโดยไม่ต้องชิงอันดับ 3

เพียงแต่สิ่งที่วาดฝันเอาไว้อาจจะไม่ง่าย เนื่องจากว่าทีมช้างศึกยู-23 นี้ ถือว่าเจอปัญหาเยอะมากๆ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ทั้งการที่เปลี่ยนโค้ชคนแล้วคนเล่า การเตรียมทีมไม่ต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็น

แถมด้วยผลงานล่าสุดอย่างการแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นไปอย่างน่าผิดหวัง ตกรอบแรกในรอบ 8 ปี ชวดป้องกันแชมป์สมัยที่ 4 ติดต่อกันไป แถมผลงานโดยรวมยังถูกคู่อริอย่าง “ดาวทอง” เวียดนาม แซงไปไม่เห็นฝุ่น

ขณะเดียวกันแม้ว่าจะได้เป็นทีมวางของกลุ่มเอ แต่ดูจากทีมที่เข้าร่วมเล่นแล้ว ต้องบอกว่าไม่ง่ายอย่างแน่นอน ทั้ง ออสเตรเลีย, อิรัก และบาห์เรน

เริ่มกันที่ทีมแรกก่อนอย่าง ออสเตรเลีย แม้ว่าพวกเขาจะมีปัญหาภายใน เมื่อมี 4 นักเตะแกนหลักถูกแบนจากทีมชุดนี้ด้วยข้อหาเรื่องการหมิ่นสตรีเพศ นำโดยกัปตันทีมอย่าง ไรลีย์ แม็คกรี และอีก 3 ผู้เล่นคือ นาธาเนียล แอตกินสัน, ลาคช์แลน เวลส์ และ แบรนดอน วิลสัน ซึ่งจะไม่มีส่วนร่วมกับทีมจนจบโอลิมปิกเกมส์ รอบสุดท้ายที่ประเทศญี่ปุ่นแน่นอน

ถือว่าเป็นปัญหาหนักอกของกุนซือ แกรแฮม อาร์โนลด์ ที่จะต้องงัดขุมกำลังที่เหลืออยู่ให้ทำผลงานให้ดีที่สุด แต่เมื่อดูจากรายชื่อแล้วก็ยังถือว่าเป็นทีมที่น่ากลัวไม่ใช่น้อย เพราะนักเตะส่วนใหญ่เล่นอยู่ในยุโรปทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็น โจชัว ลอว์ส กองหลังจากฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ ในเยอรมนี, ยาค็อบ อิตาเลียโน่ กองหน้าจากมึนเช่นกลัดบัค หรือ อเล็กซ์ เกอร์สบัช กับ แซคช์ ดันแคน จากอาร์ฮุส ในเดนมาร์ก

ทีมต่อมาคือ บาห์เรน ทีมที่ทำผลงานในรอบคัดเลือกได้แจ่มมากๆ เก็บชัยชนะรวด 3 นัด ยิงไป 12 ประตูและไม่เสียแม้แต่ลูกเดียว

นอกจากนี้ผลงานของบาห์เรนชุดใหญ่เพิ่งจะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ กัลฟ์ คัพ หรือแชมป์ทีมชาติอาหรับ ได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งในทีมชุดนั้นมีนักเตะรุ่นยู-23 อยู่ 2 คนด้วยกัน ก็คือ โมฮัมเหม็ด อัล ฮาร์ดาน เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของทีม กับ อาเหม็ด บูกัมมาร์ หัวใจในแนวรับของทีมชุดนี้ นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งนักเตะที่ปัจจุบันขึ้นไปติดชุดใหญ่แล้วอย่าง โมฮัมเหม็ด มาร์ฮูน

 

แถมล่าสุดบาห์เรนยังมาอุ่นเครื่องกับเวียดนามที่ประเทศไทย แล้วเอาชนะไปได้ 2-1 ด้วย ดังนั้นใครที่จะคิดว่าบาห์เรนง่าย รอให้ไทยเคี้ยวได้เหมือนเมื่อตอนชุดใหญ่ คงต้องบอกว่าอย่าเพิ่งรีบคิดแบบนั้นโดยเด็ดขาด

ปีดท้ายที่หนึ่งในทีมเต็งของการแข่งขันครั้งนี้ นั่นก็คือ อิรัก ซึ่งนำทัพมาโดย อับดุล กานี่ ชาฮัด เฮดโค้ชใหญ่วัย 51 ปี ซึ่งสามารถนำทีมบุกไปคว้าแชมป์กลุ่มในบ้านของอิหร่านมาได้แบบน่าประทับใจ

ชุดนี้มีตัวชูโรงอยู่ที่ อาเมียร์ อัล-อัมมารี่ ที่เล่นอยู่ในสวีเดน กับทีมยอนโคปิง รวมถึง 2 ผู้เล่นจากทีมชุดใหญ่คือ มุสตาฟา โมฮัมเหม็ด และ โมฮัมเหม็ด ริดย่า เพลย์เมกเกอร์ของทีมที่มีวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น แถมยังมี 2 กองหน้าอย่าง โมฮัมเหม็ด นาสซิฟ กับ ฮุสเซน จาบบาร์ อีกด้วย

มาดูที่ฝั่งทีมชาติไทยกันบ้าง ทีมชุดนี้ถือว่าถูกปรับจากชุดซีเกมส์มาหลายคน จาก 20 คนในชุดซีเกมส์ หลงเหลือมาในชุดนี้เพียง 14 คนเท่านั้น คนที่หายไปก็อาทิเช่น “เกม” รัตนากร ใหม่คามิ รวมถึงที่บาดเจ็บอย่าง จตุรพัช สัทธรรม, นนท์ ม่วงงาม, สิทธิโชค ภาโส เป็นต้น

ส่วนหน้าใหม่ที่เติมเข้ามาแล้วถือว่าเป็นที่น่าสนใจ ก็คือ เบนจามิน เจมส์ เดวิส ดาวรุ่งลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์-อังกฤษ ซึ่งตอนนี้เล่นให้กับทีม “เจ้าสัวน้อย” ฟูแล่ม ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ อยู่

แต่ที่น่าลุ้นจนถึงวันที่เขียนบทความนี้ก็คือ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กองหน้าเดอะแบกของทีมในวัย 17 ปี ที่เป็นดาวซัลโวจากซีเกมส์ที่ผ่านมา ซึ่งมีอาการบาดเจ็บติดตัวอยู่เล็กน้อย ต้องลุ้นว่าสุดท้ายเจ้าแบงค์จะยังคงมีชื่ออยู่ หรือว่าต้องถอนตัวออกไป

ว่ากันแบบไม่เกรงใจเลย ต้องบอกว่าทีมชาติไทยชุดยู-23 ของ อากิระ นิชิโนะ ชุดนี้ มีจุดอ่อนเต็มไปหมด เริ่มตั้งแต่แนวรับ วิงแบ๊กซ้าย-ขวา จากซีเกมส์ที่ผ่านมาต้องบอกว่ารั่วเป็นประตูน้ำ ต้องดูว่าการเสริม มีโชค มหาศรานุกูล หรือ “ปาแปง” ฑิตาวีย์ อักษรศรี เข้ามาจะสามารถปิดรอยรั่วตรงนี้ได้หรือไม่

ขณะที่แดนกลาง ด้วยความที่เจอกับทีมระดับเอเชีย ต้องเน้นเกมรับมากขึ้น แต่ไม่มีชื่อของรัตนากร ซึ่งในซีเกมส์ที่ผ่านมา ยกให้เป็นหนึ่งในคนที่เล่นได้คงเส้นคงวาที่สุดคนหนึ่ง จากรายชื่อที่เห็นว่าเป็นตัวรับจ๋าก็มีแค่ กฤษดา กาแมน กับ กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ เท่านั้น

ส่วนแนวรุก ต้องบอกว่าดูจากหน้ากระดาษ นี่คือแนวรุกชุดยู-23 ที่สามารถดันขึ้นไปเล่นชุดใหญ่ได้แบบไม่มีเคอะเขิน ทุกตัวล้วนอันตรายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “เช็ค” สุภโชค สารชาติ, “นนท์” อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ หรือ “อาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด ก็ตาม

แต่ปัญหาอยู่ที่การเล่นร่วมกันเป็นทีม เพราะจากซีเกมส์ที่ผ่านมาดูยังขึ้นเกมรุกกันแบบตัวใครตัวมันเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็บอกไม่ได้ว่าในช่วงเวลาเก็บตัวไม่กี่วัน จะสามารถจูนให้แนวรุกเหล่านี้ทำงานร่วมกันได้หรือไม่

เห็นไหมครับว่าถึงแม้ว่าไทยจะได้เป็นเจ้าภาพในศึกชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ที่มีตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 3 ใบ เป็นเดิมพันนี้ แต่เส้นทางดูจะไม่ง่ายเอาเสียเลย

แต่ในฐานะคนไทย เราคงทำอะไรไม่ได้หรอกครับ นอกจากให้กำลังใจช้างศึกหนุ่มตัวนี้กันเยอะๆ

เพราะเชื่อว่าทุกคนยังหวัง ‘เซอร์ไพรส์’ กันอยู่ใช่ไหมหล่ะ!

โปรแกรมรอบแรก ทีมชาติไทย
นัดแรก พบ บาห์เรน วันที่ 8 มกราคม
นัดสอง พบ ออสเตรเลีย วันที่ 11 มกราคม
นัดสาม พบ อิรัก วันที่ 14 มกราคม
ทุกนัดเตะที่ ราชมังคลากีฬาสถาน เวลา 20.15 น.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image