9 ปีกัปตันเดฟในถ้ำสิงห์บลูส์ 7 ล้านปอนด์สู่ความสำเร็จที่ประเมินค่าไม่ได้

9 ปีกัปตันเดฟในถ้ำสิงห์บลูส์ 7 ล้านปอนด์สู่ความสำเร็จที่ประเมินค่าไม่ได้

เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า หรือที่แฟนบอลเชลซีรู้จักกันในนาม “กัปตันเดฟ” กองหลังกัปตันทีมเชลซี ชาวสแปนิช วัย 32 ปี ประกาศศักดาเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่สามารถคว้าทุกแชมป์กับเชลซี หลังเพิ่่งชูถ้วยศึกชิงแชมป์สโมสรโลก จากการเอาชนะ พัลไมรัส ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อไม่กี่วันก่อน

อัซปิลิกวยต้า ถูกเชลซีซื้อมาร่วมทีมเมื่อปี 2012 จาก โอลิมปิก มาร์กเซย ด้วยค่าตัวเพียง 7 ล้านปอนด์เท่านั้น ภายใต้การทำทีมของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ในตอนนั้นแฟนบอลหลายคนต่างเกาหัวว่าชื่ออ่านออกเสียงอย่างไร แม้แต่การให้สัมภาษณ์กับรายการทีวียังฟังออกยาก

จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เชลซีกำลังเดินทางไปแข่งตามปกติ คนขับรถบัสของทีมชื่อ “เดฟ” อยู่ๆ ก็มีคนเดินมาเรียกคนขับรถ แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ อัซปิลิกวยต้า หันไปมองเหมือนว่ามีใครเรียก ทำให้เพื่อนร่วมทีมต่างก็เรียกเขาว่า “เดฟ” นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ในฤดูกาลแรกกับเชลซี หลายคน รวมถึง อัซปิลิกวยต้า เองก็คิดว่าน่าจะเข้ามาเป็นแค่อะไหล่ให้กับทีม และมีความสงสัยว่าจะได้ลงสนามกี่นัด แต่ปรากฏว่า เขาได้ลงสนามไป 48 นัด ทำ 6 แอสซิสต์ รวมทุกรายการให้กับเชลซี ประจำการอยู่ทางกราบขวา เนื่องจาก ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือขัดตาทัพที่เข้ามาทำหน้าที่แทน ดิ มัตเตโอ ได้ถอย บรานิสลาฟ อิวาโนวิช แบ๊กขวาตัวหลักไปเล่นเซ็นเตอร์แบ๊กแทนที่ของ จอห์น เทอร์รี่ ที่มีอาการบาดเจ็บ และนั่งอยู่บนม้านั่งสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่

Advertisement

หลังจากนั้นฤดูกาล 2013-14 เป็นปีที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาคุมเชลซีเป็นคำรบที่สอง หลังโดนตะเพิดไปเมื่อปี 2007 ซีซั่นนี้เป็นปีที่เดฟได้ลงเล่นด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา จากสถิติแสดงให้เห็นว่า อัซปิลิกวยต้า ลงเล่นแบ๊กซ้ายจำนวน 31 นัด ส่วนแบ๊กขวา 11 นัด และสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงจาก แอชลี่ย์ โคล แบ๊กซ้ายระดับตำนานของสโมสรได้สำเร็จ เนื่องจากโคลอายุมากขึ้น และสภาพร่างกายเองก็เริ่มจะไม่ไหว

ต่อมาในฤดูกาล 2014-15 เป็นปีที่ อัซปิลิกวยต้า เล่นได้อย่างสม่ำเสมอ ยึดตัวจริงทางได้ซ้ายได้เกือบทั้งฤดูกาล และช่วยเชลซีคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่นำแบบม้วนเดียวจบ และลีกคัพ (คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน) ที่เอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง สเปอร์ส ไป 2-0

ฤดูกาล 2016-17 เป็นปีที่ อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามารับหน้าที่กุนซือเป็นปีแรก และได้ลองเปลี่ยนระบบทีมจากเดิมที่เล่น 4-2-3-1 เป็น 3-4-3 โดยธรรมชาติของเดฟ เล่นฟูลแบ๊กทั้งสองข้างมาโดยตลอด ได้ลงเล่นในบทบาทใหม่ที่คอนเต้มอบให้ คือประจำการเป็นกองหลังตัวขวาในกองหลัง 3 ตัว ในฤดูกาลนั้นเองเชลซีก็ได้สร้างสถิติชนะรวด 13 เกมในพรีเมียร์ลีกช่วงกลางฤดูกาล และคว้าแชมป์ในบั้นปลาย เดฟถือป็นส่วนสำคัญกับแผงหลังของทีมชนิดที่ขาดไม่ได้ โดยลงสนามในพรีเมียร์ลีกครบทุกเกม ครบทุกนาที

Advertisement

ในฤดูกาล 2017-18 อัซปิลิกวยต้า เริ่มมีชื่อได้สวมปอกแขนกัปตันทีม และพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้ในรอบ 6 ปี หลังเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 แต่ในผลงานของทีมในลีกค่อนข้างดร็อปไปจากเดิม ทำให้จบเพียงอันดับ 5 เท่านั้น และฤดูกาล 2018-19 เชลซีก็ได้แต่งตั้ง เมาริซิโอ ซาร์รี่ เข้ามาทำหน้าที่แทนคอนเต้ และในฤดูกาลนี้เองที่อัซปิลิกวยต้าขึ้นมาเป็นกัปตันแบบเต็มตัว ลงสนามให้ทีมครบทุกนัดในพรีเมียร์ลีก ทำได้ 1 ประตู 9 แอสซิสต์ และจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ยูโรป้าลีก

อย่างไรก็ตาม อัซปิลิกวยต้า เริ่มต้นฤดูกาล 2019-20 ด้วยฟอร์มที่ดูดร็อปต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเอง แต่ก็ค่อยๆ เรียกฟอร์มกลับมาได้ ในฤดูกาลนี้เดฟได้ลงเล่นทั้งหมด 4 ตำแหน่ง ประกอบด้วย แบ๊กซ้าย, แบ๊กขวา, เซ็นเตอร์แบ๊ก และวิงแบ๊กขวา แต่ก็ยังทำผลงานได้ตามมาตรฐานเดิม ลงสนาม 49 นัดรวมทุกรายการ ทำไป 4 ประตู 7 แอสซิสต์

แต่ช่วงแรกของฤดูกาล 2020-21 เดฟต้องตกเป็นตัวสำรองเนื่องจากกุนซือในตอนนั้น แฟร้งก์ แลมพาร์ด เลือกดัน รีซ เจมส์ แบ๊กขวาดาวรุ่งของทีมขึ้นมาเป็นตัวหลัก และในช่วงกลางฤดูกาลผลงานของทีมดร็อปลงอย่างมาก เล่นไร้ทรงบอล, ไม่สามารถเก็บผลการแข่งขันได้ตามที่หวัง ทำให้เชลซีได้แต่งตั้ง โธมัส ทูเคิล เข้ามาทำหน้าที่กลางฤดูกาล และปรับระบบทีมเป็น 3-4-2-1 โดยอัซปิลิกวยต้าประจำการเป็น 1 ใน 3 กองหลังเหมือนกับยุคของคอนเต้ บางเกมก็ถูกขยับให้ขึ้นไปเล่นวิงแบ๊กตามความเหมาะสมของเกม ทูเคิลพาเชลซีเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก หลังเพิ่งเข้ามาคุมที่ได้แค่ 4 เดือนเท่านั้น

ปัจจุบันฤดูกาล 2021-22 อัซปิลิกวยต้า สามารถนำแชมป์เข้าสู่ตู้โชว์ของสโมสรได้อีกครั้ง หลังเพิ่งคว้าแชมป์สโมสรโลกที่เชลซีเคยอกหักมาเมื่อ 9 ปีก่อน และนับว่าเป็นถ้วยที่ 21 ของเชลซีนับตั้งแต่ “เสี่ยหมี” โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสร

อัซปิลิกวยต้า ถือเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์คนหนึ่งที่เชลซีจะขาดไม่ได้ โดยลงเล่นไปทั้งหมด 8 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น แบ๊กขวา, วิงแบ๊กขวา, ปีกขวา, แบ๊กซ้าย, แบ๊กขวาตัวใน, วิงแบ๊กซ้าย, เซ็นเตอร์แบ๊ก, และเซ็นเตอร์แบ๊กตัวขวา

ปัจจุบัน “กัปตันเดฟ” ลงสนามให้กับเชลซีรวมทุกรายการ 459 นัด ทำ 15 ประตู กับ 56 แอสซิสต์ ส่วนถ้วยที่อัซปิลิกวยต้าชูถ้วยกับเชลซีไปทั้งหมด 9 ถ้วย ประกอบด้วย พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก 1 สมัย, ยูโรป้า ลีก 2 สมัย, ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย และล่าสุดกับการคว้าแชมป์สโมสรโลกมาครองอย่างยิ่งใหญ่

ด้วยความมุ่งมั่น, ระเบียบวินัยที่สูง และแชมป์ที่คว้าได้กับทีมเชลซี ไม่น่าแปลกใจหาก “กัปตันเดฟ” จะเป็นตำนานสิงห์บลูส์คนต่อไปต่อจากแข้งยุคทองก่อนหน้านี้อย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, แฟร้งก์ แลมพาร์ด, จอห์น เทอร์รี่, ปีเตอร์ เช็ก และ แอชลี่ย์ โคล

จากสิ่งที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ได้ทำเอาไว้ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ หากถูกบรรจุเข้าหอเกียรติยศของทีม และด้วยค่าตัวเพียง 7 ล้านปอนด์กับความสำเร็จที่ได้มานั้น ถือว่าเชลซีคุ้มค่าทุกเพนนีจริงๆ

และไม่สามารถประเมินค่าความสำเร็จที่เขาได้ทุ่มเททุกอย่างให้กับสโมสรได้…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image