มีบทสรุปอะไรอันเกี่ยวกับกรณี”วัดธรรมกาย”ที่แหลมคมมากกว่า การดำเนินการ”จับตัว”พระธัมมชโยจักต้องเดินหน้าต่อไปอีกหรือไม่
ไม่ว่าจะมาจาก นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ
ไม่ว่าจะมาจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง ไม่ว่าจะมาจาก พล.ต. ท.ชาญเทพ เสสะเวช
เพราะนับวัน “บทสรุป” นี้จะยิ่งทำให้ “เสียหาย”
ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นว่า ปฏิบัติการตลอด 23 วันในการปิดล้อมวัดพระธรรมกายและพื้นที่ “ควบคุมพิเศษ”ด้วยกำลังมากกว่า 3,000 นาย
“ล้มเหลว” อย่างเด่นชัด
หากยังลามปามกลายเป็นคำถามด้วยความสงสัยไปยังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ของ “มาตรา 44”
นั่นเท่ากับเป็นคำถามถึง “คสช.”
ถึงกับมีบทสรุปที่”ดีเอสไอ”ไม่ได้สรุปว่า เป็น”มวยล้มต้มคนดู”
รายงานที่ดีเอสไอและกระทรวงยุติธรรมจะจัดทำเพื่อนำเสนอต่อหัวหน้าคสช.จึงสำคัญ
อย่างที่ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธ์ แถลง
“เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาว่า การตรวจค้นวัดตลอด 23 วันในทุกพื้นที่ ไม่พบผู้มีหมายจับจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และในพื้นที่วัดที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุม”
เหตุผลก็เพราะ
“เพราะดีเอสไอเป็นผู้ปฏิบัติและบูรณาการกำลังตามคำสั่งหัว หน้าคสช.ฉบับที่ 5/2560
“เนื่องจากพื้นที่วัดอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอและตำรวจ ส่วนทหารอยู่ในพื้นที่รอบนอก ทหารไม่เห็นอะไร ถ้าถามว่ามีการตรวจค้นทุกพื้นที่มีความละเอียดรอบคอบสมบูรณ์ตามแผนหรือไม่
“ดีเอสไอต้องตอบ”
แถลงจาก พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ในฐานะทีมงานโฆษกคสช.มีความเด่นชัดใน “ปฏิบัติการ”
ปฏิบัติตามคำสั่ง”หัวหน้าคสช.”
นั่นก็คือ 1 ดีเอสไอรับผิดชอบในฐานะ”ผู้บัญชาการ”วางแผนปฏิบัติการ
1 ตำรวจรับผิดชอบร่วมตรวจค้นภายในวัด
ขณะเดียวกัน 1 ทหารซึ่งมีกำลังพล 15 กองร้อยจำนวน 1,350 นาย อยู่ในพื้นที่รอบนอก
“ทหารไม่เห็นอะไร”
“รายงาน”ของดีเอสไอ ไม่ว่าด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรจึงสำคัญอย่างยิ่งยวด
สำคัญต่อ”คสช.” สำคัญต่อ”มาตรา 44″
เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของ 1 ดีเอสไอ และ 1 กระทรวง ยุติธรรม