ไม่ว่ากรณีการเปิดสถาน “ลักลอบ” เล่นการพนันที่จังหวัดระยอง ไม่ว่ากรณีตลาดกุ้งที่จังหวัดสมุทรสาครอันเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโควิด
ล้วนสัมพันธ์กับ “อำนาจรัฐ”
หากอ่านจดหมายเปิดผนึกของ นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง ก็จะเข้าใจในเส้นสนกลใน ซึ่งดำรงอยู่ภายในกระบวนการบ่อน
เป็นคำถามไปยัง “นายกรัฐมนตรี”
หากติดตามการดำรงอยู่ของ “แรงงานข้ามชาติ” จำนวนเป็นแสนไม่ว่าจะที่ตลาดกุ้ง ไม่ว่าจะที่แพปลาของสมุทรสาครก็จะเกิดคำถามที่มีคำตอบอยู่แล้ว
แรงงานเหล่านั้น “ข้ามพรมแดน” มาได้อย่างไร
จึงไม่ว่าการดำรงอยู่ของ “แรงงาน” ในตลาดกุ้งและแพปลา จึงไม่ว่าการดำรงอยู่ของ “สถานลักลอบ” เล่นการพนัน
ล้วนสามารถโยงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพียงพิจารณาในกรณีของ “แรงงานข้ามชาติ” ไม่ว่าจะมาจากเมียนมา ไม่ว่าจะมาจากกัมพูชา ไม่ว่าจะมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
นี่ย่อมเป็นเรื่องสลับซับซ้อน
เป็นความสลับซับซ้อนทั้งที่ดำรงอยู่อย่างถูกกฎหมาย เป็นความสลับซับซ้อนทั้งที่ดำรงอยู่อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
คำถามก็คือ พวกเขา “ข้ามแดน” มาได้อย่างไร
หากศึกษาจากสภาพการณ์ของการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ระลอกแรกในห้วงเดือนมกราคม กระทั่งประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเดือนมีนาคมก็จะมี “คำตอบ”
เป็นคำตอบซึ่งลำพังเพียงผู้ว่าราชการจังหวัดชายทะเลอย่างสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ
ไม่สามารถบริหารจัดการได้โดยราบรื่น
จำเป็นต้องถึงมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยิ่งเมื่อเจาะลึกลงไปในปัญหาของสถาน “ลักลอบ” เล่นการพนันอันเป็นแหล่งแพร่ไวรัส โควิด-19 ที่ระยอง
ยิ่งมากด้วยเรื่องราวและคำเล่าลือ
เพราะไม่เพียงแต่รอดหูรอดตา “ตำรวจ”
หากแม้กระทั่งในขั้นคณะอนุกรรมาธิการแห่งคณะกรรมาธิการว่าด้วยการพนันออนไลน์ สภาผู้แทนราษฎร
ก็ต้องตึงตะลึง
เมื่อลูกชายนายบ่อนโผล่มาด้วยบารมี “พลังประชารัฐ”
จึงไม่เพียงแต่คำแถลงของผู้บังคับการระยองจะยืนยันถึงการไม่มี “บ่อน” ในจังหวัดระยองเท่านั้น หากแต่ทำให้กรณีบ่อนพระราม 3 ถูกรื้อฟื้นคืนมาโดยอัตโนมัติ
นี่ย่อมเป็นเรื่องของ “ตำรวจ” นี่ย่อมเป็นเรื่องของ “ฝ่ายปกครอง”
ไม่เพียงแต่สัมพันธ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งกำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากยังสัมพันธ์กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งอยู่มหาดไทย
นี่ย่อมเป็นเรื่องที่โยงยาวไปยัง “3 ป.” ได้เลย
ตราบใดที่สภาผู้แทนราษฎรยังเป็น “ปลวกจมปลัก” ตราบใดที่วุฒิสภายังดำเนินไปในลักษณะแห่ง
“สภาปรสิต” ก็เย็นใจได้เลยว่า
ทุกอย่างที่ผิดปกติก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ
เป็นความปกติบนสภาพการณ์ที่นายกรัฐมนตรีดำรงอยู่ในแบบ “ตู่ไม่รู้ล้ม” ประสานกับสถานะแห่ง “ป้อมไม่รู้โรย” ของรองนายกรัฐมนตรี
นี่คือการโล้ “นาวา” ฝ่าคลื่นลมแห่ง“โควิด-19” ของรัฐบาล