เดินหน้าชน : รบ.เจอแต่ของหนัก

เดินหน้าชน : รบ.เจอแต่ของหนัก

นับตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐา หรือ รบ.นิด 1 เข้ามาบริหารประเทศเพียงแค่ 1 เดือนกว่า เจอแต่ปัญหาหนักๆ มาให้รับมืออย่างต่อเนื่อง

หลังจากวันอังคารที่ 5 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทยคนใหม่ นำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ

วันที่ 6 กันยายน 2566 เกิดเหตุยิงนายตำรวจเสียชีวิตในบ้านกำนันนกที่นครปฐม โดยมีกลุ่มตำรวจช่วยเหลือผู้ลงมือสังหาร และมือปืนที่ลงมือสังหารก็ถูกวิสามัญเสียชีวิต

Advertisement

อีกสัปดาห์ต่อมามีนายตำรวจยิงตัวเองเสียชีวิต สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าวนี้อีก 1 นาย

และมีตำรวจจำนวนมากถูกดำเนินคดีจากกรณีบ้านกำนันนกในหลายข้อหา ทำให้สั่นสะเทือนวงการสีกากีอย่างหนัก

วันที่ 25 กันยายน 2566 ตำรวจไซเบอร์ นำกำลังบุกค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่งหลังสโมสรตำรวจ ซอยวิภาวดีรังสิต 60 กทม. โดยชุดจับกุมให้เหตุผลว่าพบเชื่อมโยงพนันออนไลน์

Advertisement

ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาประกาศขอความเป็นธรรมฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนอย่างถึงที่สุด เพราะเชื่อว่าถูกกลั่นแกล้ง

ที่สำคัญเหตุการณ์บุกค้นบ้านบิ๊กโจ๊กถูกมองว่าเชื่อมโยงกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่

จึงเป็นการสร้างความสงสัยและความน่ากลัวอย่างรุนแรงของวงการสีกากีอีกครั้ง

ต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2566 เกิดเหตุคนร้ายวัย 14 ปี ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงกลางห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ในช่วงแรกทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนหนึ่งราย และอีกคนเป็นชาวเมียนมา รวมถึงมีผู้บาดเจ็บอีก 5 คน หลังจากนั้นมีหญิงไทยเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย รวมเป็น 3 ราย

เหตุดังกล่าวสร้างความเสียหายด้านเศรษฐกิจไม่น้อย เพราะรัฐบาลเพิ่งประกาศนโยบายฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถานไปไม่กี่วัน เพื่อดึงดูดให้มาเที่ยวเมืองไทย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้นักท่องเที่ยวจีนยกเลิกการเดินทางมาไทยนับแสนคน

นายเศรษฐาและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาขอโทษผู้ที่ได้รับผล กระทบทุกคน

หลังจากนั้นไม่กี่วัน 7 ตุลาคม 2566 กลุ่มฮามาสฝ่าแนวกั้นบุกโจมตีอิสราเอลอย่างหนัก ทั้งทางอากาศและมุดดินเข้าไป ทำให้คนไทยเสียชีวิตตัวเลขล่าสุด 30 ราย และอาจจะมีเพิ่มอีก

ยังมีผู้บาดเจ็บเกือบ 20 คน และถูกจับไปเป็นตัวประกัน 17 คน

นายเศรษฐาพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาทางอพยพแรงงานไทยกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด และพยายามเจรจาทุกวิถีทาง เพื่อให้กลุ่มฮามาสเร่งปล่อยตัวคนไทย

เรียกได้ว่ารัฐบาลเศรษฐาเข้ามาบริหารประเทศไม่ทันไร ก็เจอแต่ปัญหาหนักๆ ทั้งนั้น

แถมนายเศรษฐายังมีภารกิจเดินสายไปประชุมกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่เมืองไทย

ไปทั้งอเมริกาเพื่อประชุมเอเปค ไปกัมพูชา ฮ่องกง บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์

ต่อมาก็บินไปจีนเพื่อร่วมประชุม ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่ 3

หลังจากนั้นไปซาอุฯ และมีโปรแกรมเตรียมจะเดินทางไปอีกหลายประเทศ

หากคำนวณดูระยะเวลาที่เข้ารับตำแหน่ง นายเศรษฐาอยู่ในเมืองไทยกับต่างประเทศน่าจะพอๆ กัน

มอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ รักษาการนายกรัฐมนตรี ดูแลงานต่างๆ แทน

เป้าหมายนายเศรษฐาก็เพื่อไปชักชวนนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ไปบอกกับต่างประเทศว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยพ้นจากบ่วงการสืบทอดอำนาจแล้ว

ประเทศไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างประเทศ

สำหรับปัญหาในประเทศ จะเห็นได้ว่ารัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย พยายามผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เห็นผลตามเป้าหมาย “ควิกวิน” ของนายเศรษฐา

แม้ว่ารัฐมนตรีจากพรรคอื่นๆ อาจจะยังตามไม่ค่อยทันการทำงานแบบเร่งสปีด หรือ “ควิกวิน” ของพรรคเพื่อไทยก็ตาม

แต่เชื่อว่าสไตล์การทำงานแบบเอกชนของนายเศรษฐา น่าจะทำให้เห็นผลงานของรัฐบาลทยอยออกมาอีกมาก

ไม่ว่ารัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยเอง หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็ตาม

เพราะหมายถึงคะแนนเสียง จะต้องเร่งเก็บแต้ม และสิ่งที่เคยรับปากหาเสียงกับประชาชนไว้ จะต้องเร่งทำงาน

ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์การเมืองข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลจะอยู่ได้นานอีกแค่ไหน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงมากมาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image