ยิ่งกว่าภาพยนตร์! ดร.บัญชา สแกนชีวิต ‘ออปเพนไฮเมอร์’ ขึ้นสุด ดิ่งสุด ‘ถูกดึงเพราะเด่นเกิน’

ยิ่งกว่าภาพยนตร์! ดร.บัญชา สแกนชีวิต ‘ออปเพนไฮเมอร์’ ขึ้นสุด ดิ่งสุด ‘ถูกดึงเพราะเด่นเกิน’

เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) พร้อมด้วยพันธมิตรสำนักพิมพ์ ร่วมจัดงาน ‘สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22’ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเวลา 18.00 น. มีการจัดกิจกรรม Matichon’s Special Talk หัวข้อ ‘เรื่องจริงของออปเพนไฮเมอร์ บิดาแห่งปรมาณู’ โดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ผู้อำนวยการฝ่ายเผยแพร่เทคโนโลยี ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ MTEC (เอ็มเทค) เจ้าของผลงาน ‘Pioneering Minds ก้าว-รุก-บุก-เบิก

Advertisement

ในการนี้ น.ส.ปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมรับฟัง พร้อมด้วยแฟนหนังสือร่วมรับฟังอย่างอบอุ่น

ดร.บัญชากล่าวว่า เจ. รอเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ มีเชื้อสายยิวจากพ่อที่เป็นชาวเยอรมันนี ฐานะยากจน เรียกได้ว่ามีเสื่อผืนหมอนใบมาอยู่อเมริกา แต่ด้วยความฉลาดใช้ระยะเวลาแค่ประมาณ 10 ปี เติบโตขึ้นมาได้จนเป็นเจ้าของโรงงาน รวยถึงขั้นสะสมภาพวาดของของศิลปินชื่อดัง อย่าง วินเซนต์ แวน โก๊ะ และปิกาโซได้

“ตัวออปเพนไฮเมอร์ก็แสดงความฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ช่วงอายุ 12 ปี ตอนนั้นแน่นอนว่า ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย เขาเขียนจดหมายคุยกับชมรมนักวิชาการในนิวยอร์ก ปรากฏว่าคุยกันอย่างไรไม่รู้นักวิชาการรุ่นใหญ่เชิญไปปาฐกถา พอไปแล้วก็ได้รับผลตอบรับดี เพราะเขามีแพชชั่นตรงนั้นเยอะมาก” ดร.บัญชากล่าว

Advertisement

ดร.บัญชากล่าวอีกว่า ตามประวัติแล้วออปเพนไฮเมอร์เป็นคนอินโทรเวิร์ต ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ตั้งแต่เด็ก เขาชอบอ่านหนังสือ อยู่กับแร่ธาตุ และเรื่องวิทยาศาสตร์

“เส้นทางชีวิตเขามีความน่าสนใจ เอาตั้งแต่ปริญาตรี ออปเพนไฮเมอร์จบเคมีที่ฮาร์วาร์ด แต่ความฉลาดก็เบนสายไปปริญาโททางฟิสิกส์ ที่ประเทศอังกฤษ ไปห้องแลปเจอกับ J.J Thompson คนที่คนพบอนุภาคประจุเล็กที่สุด อิเล็กตรอนประจุลบ เป็นคนดังระดับโลก

แม้ว่าจะมีความอัจฉริยะ แต่เขามีความเป็นนักทฤษฎี ทดลองไม่เก่ง J.J Thompson ก็แนะนำให้เขาไปเรียนคอร์สพื้นฐานก่อน ซึ่งต่อมาเขาก็เรียนไม่ไหว เพราะมนุษย์เราถ้าไม่ใช่ทางตัวเองแล้วก็ไม่เอาเลย เขาเคยบ่นว่าน่าเบื่อมาก” ดร.บัญชาเล่า

ดร.บัญชากล่าวว่า ต่อมาเขาไปทำงานที่เยอรมันนีและเรียนจนจบปริญญาเอก พบกับ Max Born ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยให้เกิดกลศาสตร์ควันตรัมในช่วงแรก นับเป็นคนเก่งคนหนึ่งในวงการวิทยาศาสตร์ ตอนหลังก็ตีพิมพ์เกี่ยกกับการคำนวณมวลนิวเคลียส

เมื่อถามถึงเส้นทางของออปเพนไฮเมอร์ ในการคิดค้นระเบิดปรมาณู

ดร.บัญชากล่าวว่า ตอนแรกเขาไม่ได้มีส่วนในการพัฒนาทฤษฎีขนาดนั้น มีหน้าที่เป็นแค่เมเนเจอร์ ตอนนั้นมีข่าวว่าเยอรมันนี คิดค้นการสร้างระเบิดปรามณูได้ก่อน โลกนี้ต้องถูกฝ่ายอักษะครอบครอง อเมริกาจึงต้องลุกขึ้นมาตั้งโครงการ เพื่อสร้างระเบิดปรามณูขั้นมา

“แน่นอนว่าต้องมีผู้นำที่เก่ง เพราะมีการรวบรวมนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ วิศวกรรมชั้นยอด มีคนที่เคยได้รางวัลโนเบล 12-13 คน ดังนั้นคนพวกนี้มีอีโก้แน่นอน ทางกองทัพก็ควานหาหลายคนจนมาพบออปเพนไฮเมอร์ คุยกันถูกคอ และรู้สึกว่าคนนี้จะมีความสามารถในการจัดการคนได้ เขามีเซ้นส์อะไรบางอย่าง เห็นความมุ่งมั่นสูงด้วย อันนี้เป็นจุดเด่นของเขา

อายุเขาน้อยมาก ยังไม่ถึง 40 ปี รางวัลโนเบลก็ไม่เคยได้ ซึ่งตอนนั้นไอน์สไตน์ก็แก่มากแล้ว และไม่รับทำระเบิดแน่นอน ไอน์สไตน์ทำหน้าที่แค่ไปหาประธานาธิบดีโรสเวลต์ว่า มีข่าวระแคะระคายถึงเยอรมันนีกำลังสร้างระเบิดปรมาณูอยู่ ถ้าเขาทำสำเร็จแย่แน่ อเมริกาต้องเร้งสร้างขึ้นมา ตรงนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐเริ่มต้นโครงการ” ดร.บัญชาอธิบาย

ดร.บัญชากล่าวอีกว่า ออปเพนไฮเมอร์ถูกเลือกมา แม้ไม่น่าจะทำได้ เพราะเขามีหัว หรือ จุดยืดทางการเมืองที่เอียงซ้ายด้วย เพราะเมื่อ ค.ศ.1930 คนอเมริกันจำนวนมากเอียงซ้าย ถึงขั้นมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอเมริกา ซึ่งแม้ว่าออปเพนไฮเมอร์ไม่ได้เป็นสมาชิก แต่คนรอบข้างเขาเป็น

“แฟนคนแรกของเขาก็เป็น activist ตัวดีเลย เขามีอะไรหลายอย่างที่ไม่น่ามาร่วมโครงการได้ แต่ก็ถูกเลือกขึ้นมา

อเมริกาไม่ได้จู่ๆ ก็เริ่มสร้างปรมาณูกันหรอก แค่ศึกษาว่าธาตุยูเรเนียมจะปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างไร แต่พอสงครามดำเนินไปเรื่อย ก็ต้องยกระดับขึ้นมา สร้างสถาบันเกี่ยวระเบิด ขีปนาวุธขึ้นมา ซึ่งเป็นจุดกำเนิด แมนฮันตันโปรเจ็กต์

ถ้าใครดูหนัง ตอนจบออปเพนไฮเมอร์โดนสอบเยอะ ซึ่งอังกฤษพยายามสร้างแล้วเหมือนกัน ด้วยเงินมหาศาลมาก แต่มีข้อจำหัดในการทำวิจัย ซึ่งอเมริกาอยู่อีกพื้นที่หนึ่งสะดวกกว่า เขาตกลงกันว่าถ้าวันใดวันหนึ่งมีระเบิด จะไม่ตูมใส่กัน มีดีลกันไว้นานแล้ว” ดร.บัญชากล่าว

เมื่อถามว่า ทำไมตั้งชื่อว่า ‘แมนฮัตตันโปรเจ็กต์’?

ดร. บัญชากล่าวว่า คนที่มาร่วมโครงการนี้จำนวนมาก อาศัยอยู่ในย่านแมนฮัตตัน นิวยอร์ก และตั้งชื่อให้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มาเปิดเผยหลังจากสงครามสิ้นสุดไปแล้ว เมื่อก่อนตนก็สงสัยเหมือนกัน สมัยทำงานสวทช.เกือบ 30 กว่าปีก่อน ได้มีโอกาสไปที่ Oak Ridge National Laboratory เขาก็ทำโครงการเกี่ยวกับแมนฮัตตันด้วย เขาก็มีความภูมิใจมาก ว่ามีเครื่องที่คัดยูเรเนียมให้มีความบริสุทธิได้

“การควบคุมสำหรับปลดปล่อยพลังงานออกจากนิวเคลียส สามารถสร้างเตาปฏิกรณ์ไฟฟ้า แต่สร้างระเบิด เราไม่ต้องควบคุม ปล่อยให้มันปลดปล่อยพลังงานอย่างเต็มที่ มันเป็นจุดหมายสำคัญว่าตอนนี้มนุษย์ควบคุมพลังงาน จากอะตอมได้แล้วนะ” ดร.บัญชาเผย

ดร.บัญชากล่าวอีกว่า โครงการนี้มีหลายพื้นที่ เพื่อกระจายความเสี่ยงไป เลี่ยงการถูกโจมตี ซึ่งระเบิดปรมาณูที่ออปเพนไฮเมอร์ทำอยู่มี 2 แบบ คือ Little Boy กับ Fat man ที่มีการทำงานแตกต่างกัน

“เหมือนที่เราเห็นอยู่ในหนัง ตอนที่ระเบิดแรงกระแทกแรงมากถึงกับเซ แสงสว่างจ้ามาก ในหนังเขาไม่ใช้กราฟฟิกด้วย เน้นความเหมือนจริง เน้นความรู้สึกของออปเพนไฮเมอร์ที่จะอิมแพ็ค แต่ละคนก็จะมีเรื่องเล่าว่าน่ากลัว หรือ นิ่งเงียบ ต่างกันไป” ดร.บัญชากล่าว

ดร.บัญชากล่าวอีกว่า ออปเพนไฮเมอร์ ศึกษา ‘คัมภีร์ภควัทคีตา’ ซึ่งมีประโยคว่า เทพเจ้าแสงสว่างพระองค์เหมือนกับดวงอาทิตย์ 1,000 ดวง และมีอีกหลายเรื่องที่พูดถึงปรัชญาอินเดีย

“ช่วงThe potsdam declaration ตอนนั้นเยอรมันีแพ้ไปก่อนแล้ว มหาอำนาจเขาก็มาคุยกันว่าจะจัดการญี่ปุ่นอย่างไรดี ตอนนี้มีการทดสอบปรมาณูไปแล้วก่อนการประชุม เพื่อความมั่นใจ ปลดอาวุธญี่ปุ่นให้ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ปลดอาวุธทั้งหมด ไม่อย่างนั้นจะถูกทำลายหมดเลย

ตอนนั้นญี่ปุ่นก็ยังสู้อยู่ ประธานาธิบดีทรูแมนก็สั่งให้ทิ้งบอมที่ฮิโรชิมา ตัวออปเพนไฮเมอร์ก็พอใจว่างานจบแล้ว แต่ทรูแมนสั่งไปให้บอมนางาซากิอีก เขาไม่พอใจมาก เพราะบอมบ์ลูกเดียวก็พอแล้ว ตรงนี้ไม่มีคำอธิบายทางประวัติศาสตร์ ว่าทำไมต้องไปวางอีกลูก ทั้งที่ชนะไปแล้วซึ่งอาจจะเชื่อกองทัพมากเกินไป และมีคำกล่าวว่า ถ้าคุณยื่นปืนให้ทหารอย่าคิดว่าเขาจะไม่ใช้” ดร.บัญชากล่าว

ดร.บัญชากล่าวว่า ตัวออปเพนไฮเมอร์มีความหลงอยู่อย่างหนึ่ง เขากลายเป็นฮีโร่และบิดาแห่งระเบิดปรามณู ด้วยความดังของเขาคิดว่าจะมีอำนาจในการให้ความเห็นนักการเมืองหลังจากสงครมจบ แต่อมริกากลัวว่าโซเวียตจะสร้างระเบิดไฮโดเจนขึ้นมากอีก ซึ่งเรียกว่า ‘ปฏิกิริยาฟิวชั่น’ รุนแรงกว่า 1,000 เท่า

“สิ่งที่เกิดขึ้น คือ อเมริกาเดินหน้าสร้างต่อ ออปเพนไฮเมอร์ ไม่ยอมให้สร้าง เราก็จะเห็นว่าตอนจบของหนัง เขาถูกสอบสวนหนักมาก ว่าเข้าข่ายทรยศประเทศหรือเปล่า กล่าวหาว่ากลายเป็นทรยศ นับว่าเป็นการขึ้นสูงสุดและลงตกต่ำลงมา ซึ่งเชื่อมโยงกับความข้องเกี่ยวกับแฟนที่เกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์

แฟนคนแรกของเขาเป็นนักเรียนแพทย์ เป็นคนฉลาดมาก เขารับรู้เรื่องทางฝ่ายซ้ายมากหน่อย แต่เขาไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ คนรอบตัวเขาเป็นหมดเลย แล้วมีลูวิส เตราว์เป็นคู่ปรับ ซึ่งบางคนก็บอกว่ามีอุดมการณ์ไม่เหมือนกัน และส่วนหนึ่งก็คงอยากจะดึงออปเพนไฮเมอร์ลงมาเพราะเด่นเดินไป” ดร.บัญชาเผย

ดร.บัญชากล่าวอีกว่า ตอนหนึ่งที่ออปเพนไฮเมอร์ออกรายการทีวี เขาพูดว่าถึงปรัชญาอินเดียว่า บัดนี้ข้าพเจ้าได้เป็นพระกาฬ เทพเจ้าแห่งความมรณะ แต่มีคนไปค้นว่าน่าจะเป็นคำว่า ‘พระกาล’ ซึ่งหมายถึงเวลา แต่ก็มีความหมายเหมือนกัน เพราะว่าเวลาก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้เสื่อมสลายเหมือนกัน หมายถึงการทำลายเช่นกัน

“นักวิทยาศาสตร์หลายคนพูดว่า ตอนแรกที่ร่วมโครงการก็สู้กันมาก เหมือนการปกป้องโลก แต่พอเยอรมันนีแพ้ไปแล้ว ก็ตั้งคำถามว่าทำไมต้องวางระเบิดญี่ปุ่นอีก พอย้อนกลับไปไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ มันจึงเป็นประเด็นเชิงจริยธรรม ถ้าทำระเบิดไม่สำเร็จก็จะมีคนตายจากสงคราม แต่สร้างสำเร็จกลับมีคนตายจำนวนมาก” ดร.บัญชากล่าว

ดร.บัญชากล่าวอีกว่า ประเด็นด้านจริยธรรม ซึ่งเรื่องเป็นเรื่องที่รุนแรงที่สุด เพราะมีคนเสียชีวิตเยอะ เช่น เรื่องโคลนนิ่งแต่ก่อนดังมาก แต่อยู่ๆก็หายไปเพราะเป็นการตกลงกันในวงการวิทยาศาสตร์ รู้ว่าถ้าปล่อยไปเรื่อยแล้วจะหยุดไม่อยู่ เริ่มมีการลดทุนวิจัยจนเรื่องซาลงไป ไม่แน่อาจจะเกิดกับ AI เหมือนกัน

เมื่อถามถึงระเบิดที่นับว่าเป็นความก้าวหน้า ในมุมมองส่วนตัว มีความเห็นอย่างไร ?

ดร.บัญชากล่าวว่า ถ้าตนเป็นนักวิทยาศาสตร์ตอนนั้นก็คงต้องทำ เพราะสถานการณ์สงคราม ซึ่งฮิตเลอร์ก็โหดร้ายทารุณมาก ใครที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ตอนนั้นส่วนใหญ่ ก็โดดเข้ามาทำงานเกี่ยวกับสงครามกันหมด จนตอนนั้นงานวิทยาศาสตร์ภาพรวมหยุดไปเลย มุ่งมาสร้างระเบิดอย่างเดียว

เมื่อถามถึงผลงานหนังสือ ‘Pioneering Minds’ ที่รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ผู้ริเริ่มสร้างสิ่งใหม่มีเนื้อหาเป็นอย่างไร?

ดร.บัญชากล่าวว่า หนังสือ Pioneering Minds ชื่อก็บอกแล้วว่า คุณต้องริเริ่มบางอย่าง ซึ่งการริเริ่มแล้วบางครั้ง หรือ บ่อยครั้งคุณต้องไปรบ ต่อสู้กับคำถากถางเยาะเย้ย เพราะเมื่อไหร่ที่คุณคิดแหกคอกจากชาวบ้าน จะถูกคิดว่าบ้าไปแล้ว

“ถ้าคุณคิดว่าเจออะไรที่เป็นสัจจะแล้ว มันก็จะพิสูจน์ตัวเอง โชคดีหน่อยได้รับการยอมรับตอนที่มีชีวิตอยู่ คุณก็ได้รับการยกย่อง แต่บางครั้งมันเกิดหลังจากที่คุณจากไปแล้ว ผมคิดว่าคนทั้งโลกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทุกคนก็มีความเป็นคนริเริ่มด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ มีหมด แค่คนอื่นจะเห็น หรือ ชูให้มันขึ้นมาเป็นประเด็นหรือเปล่าเท่านั้นเอง” ดร.บัญชากล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image