ผู้เขียน | พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ |
---|
เหตุการณ์ในบ้านเมืองช่วงนี้ที่เกี่ยวเนื่องกับการกลับสู่ประชาธิปไตย เห็นจะไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับการยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องวันเวลาที่แน่นอนในเรื่องของการเลือกตั้งและวันเลือกตั้งเช่นเคย เพิ่มเติมคือ การยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง คือให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้
เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะเริ่มมีการขยับกันนิดๆ หน่อยๆ จากคำสั่งของรัฐบาลที่ให้ความชัดเจนขึ้นว่าจะเริ่มปลดล็อกพรรคการเมืองในช่วงสักเมษาปีหน้า
แต่ข้อกังวลของพรรคการเมืองก็คือ จะทันไหม และมีอะไรอยู่เบื้องหลังไหม กับการ “สร้างแต้มต่อในนามของความเป็นธรรม-เท่าเทียม” ให้พรรคเล็กสามารถเริ่มกิจกรรมทางการเมืองก่อนพรรคใหญ่หนึ่งเดือน
ไม่รวมการให้ระยะเวลาเดือนเดียวให้สมาชิกพรรคเก่ามายืนยันตัวตน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะงานเอกสารบางครั้งต้องใช้เวลา รวมทั้งการติดต่อราชการ เราจะคิดแบบเอาคนกรุงเทพฯเป็นตัวตั้งไม่ได้ ในต่างจังหวัดนั้น คนที่อยู่ห่างไกลอาจต้องใช้เวลาในการเดินทาง และรวบรวมเอกสาร
จากหลักการสำคัญของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย คือการเลือกตั้งจะต้องมีองค์ประกอบสี่ประการ
1.เสรี (free) คือทุกคนมีโอกาสได้ลงสนาม
2.เป็นธรรม (fair) คือไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เช่น เป็นรัฐบาลจะมาคุมเลือกตั้งเอง แล้วสร้างแต้มต่อให้พรรครัฐบาลไม่ได้ หรือกติกาต้องไม่เอื้อกับพรรคใดพรรคหนึ่ง
3.สม่ำเสมอ (regular) ไม่ใช่นานๆ จัดที ต้องมีความสม่ำเสมอในการจัดเลือกตั้ง ไม่ใช่พอรู้ว่าจะแพ้ก็เลื่อนไป
4.มีความหมายต่อผู้คนในสังคม (meaningful) หมายความว่า คนต้องรู้สึกว่าการเลือกตั้งนั้นเป็นที่มาของการใช้อำนาจอธิปไตย ไม่ใช่รู้สึกว่าเลือกไปก็เท่านั้น อำนาจที่แท้จริงในสังคมไม่ได้อยู่ในรัฐสภา หรือรู้สึกว่าเลือกตั้งไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ที่กล่าวมาก็เพื่อชวนให้ท่านผู้อ่านตั้งคำถามร่วมกัน ไม่ว่าท่านจะอยู่ข้างไหนก็ตาม ว่าข้ออ้างที่บอกว่าการเปิดให้พรรคใหม่ๆ ทำกิจกรรมก่อนนั้นมันสร้างความเป็นธรรมจริงไหม หรือมีความต้องการจะให้พรรคเล็กนั้นเป็นที่มาของความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง-จริงหรือ?
หรือแค่ต้องการให้พรรคเล็กมารองรับโครงสร้างอำนาจการเปลี่ยนผ่านของผู้มีอำนาจในวันนี้ที่เตรียมคนของพวกเขาไว้ในวุฒิสมาชิกแล้วครึ่งหนึ่ง?
โครงสร้างที่สร้างแต้มต่อในนามของความเป็นธรรมนี้ สิ่งสำคัญที่รัฐบาลจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมได้ก็คือ พยายามนำเสนอกระบวนการการได้มาของ สว.250 คน ที่แต่งตั้งเองนั่นแหละครับ ถ้ามาแนวว่าคนของผม เป็นคนดี ผมรับผิดชอบเอง มันก็จะยิ่ง “สวนทาง” กับการพยายามอย่างมากมายในการสร้างระบบกลั่นกรองพรรคการเมืองและความซับซ้อนของระบบการเลือกตั้งในอีกฝ่ายหนึ่งอย่างน่าเกลียด
คิดดีๆ ก็แล้วกันครับ…
ทีนี้มามองภาพใหญ่ของความพยายามในการจัดการพรรคการเมืองและระบบการเลือกตั้งในรอบนี้กันอีกที คำถามก็คือ ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
ในอดีตนั้นเรามีมุมมองกับพรรคการเมืองในแบบหนึ่ง คืออยากได้อยากมี และใฝ่ฝันจะมีพรรคการเมืองที่เป็นทั้งพรรคอุดมการณ์ และพรรคที่เน้นนโยบาย (ภาษาทางวิชาการเรียกว่า programatic)
เราจึงทำทุกวิถีทางที่จะออกกฎระเบียบให้พรรคการเมืองเป็นพรรคขนาดใหญ่ ทั้งบังคับให้เป็นสมาชิกพรรค ห้ามย้ายพรรคง่ายๆ รวมทั้งมีแต้มต่อให้อีกผ่านระบบการซับซ้อนเพื่อให้มีเสียเพิ่ม เช่นมีทั้ง ส.ส.เขต และปาร์ตี้ลิสต์
แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นไม่ใช่พรรคการเมืองเสนอ ข้อนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา ผู้เสนอคือบรรดานักวิชาการผู้หวังดี และผู้มีอำนาจในยุคสมัยหนึ่งมีความใฝ่ฝันอย่างนั้นจริง แล้วคนเหล่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรกับความผิดพลาดในอดีต
การโยนความผิดไปที่พรรคการเมือง และความเลวร้ายของนักการเมืองนั้นเป็นมนตราที่สามารถทำให้ไฟนั้นสาดแสงไปทางอื่น และคนบางคนในกลุ่มนี้ก็กลับมาซ่อมและร่างกติกาใหม่ไปเรื่อยๆ
พูดให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย พรรคการเมืองเป็นแบบที่เป็นอยู่ในวันนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า โครงสร้างสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมทางการเมืองของประเทศ โดยเฉพาะการเลือกตั้ง (electoral and party engineering) ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้
ตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ หากพิจารณาตามหลักวิชานั้น นักวิชาการบางท่านมองว่า วิธีการสร้างกฎกติกาเพื่อจัดการพรรคการเมืองนั้นมีอยู่สองแบบ
แบบแรก คือต้องการให้พรรคการเมืองเข้มแข็งใหญ่โต และเป็นศูนย์กลางของการเมืองรัฐสภา จึงพยายามทำให้พรรคการเมืองใหญ่กว่าที่เป็นจริง เช่น นับคะแนนซ้ำด้วยสองระบบ มีระเบียบวินัยพรรคมาก
แบบที่สอง คือต้องการให้พรรคการเมืองกระจายตัวไปตามความเป็นจริงทางสังคม คือเป็นพรรคเล็กๆ แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะคนที่จะคิดแบบที่สองได้จะต้องพัฒนารูปแบบของการสร้างความเป็นสถาบัน และวัฒนธรรมในการร่วมมือกันของพรรคการเมืองที่หลากหลายให้ทำงานด้วยกันได้ ไม่ใช่ปล่อยให้มีพรรคหัวแหลกหัวแตก ง่ายต่อการแทรกแซงจากอำนาจนอกสภา
เรื่องที่ตลกก็คือ ในโครงสร้างของรัฐธรรมนูญในวันนี้ เหมือนเราเข็ดขี้อ่อนขี้แก่กับวิธีคิดเรื่องพรรคใหญ่ แต้มเยอะ และต้องการสะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองมากขึ้น แถมมาช่วงปลายทางยังมีความพยายามทำพรรคให้เล็กและหลากหลายแถมสร้างแต้มต่ออีกมากมาย
แต่คำถามที่สำคัญก็คือ แม้เราจะอ้างถึงความเป็นจริงทางการเมืองมากขึ้น แต่เราไม่พยายามเชื่อมั่นว่าพรรคการเมืองจะสามารถบริหารประเทศได้จริง เราพยายามสร้างแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ เราแทรกแซงการเมืองโดยเอาคนของอำนาจเก่าอีกครึ่งสภาเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของพรรคการเมืองนั้นเป็นไปได้ยากมากขึ้น
ประเทศไทยจึงเป็นตัวแบบใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบง่ายๆ ของโครงสร้างสถาปัตยกรรมการเมืองเน้นการเลือกตั้งและพรรคการเมืองแบบที่ผมพยายามอธิบาย
เรื่องต่อมาก็คือ ในการศึกษาพรรคการเมืองของโลกนั้น นอกจากตัวแบบพรรคการเมืองขนาดใหญ่ครอบงำ และพรรคการเมืองเล็กแต่ต้องส่งเสริมให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ยังมีกรอบคิดอีกอย่างที่นักวิชาการการเมืองในประเทศแถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พยายามตั้งคำถามในเชิงสิ่งที่เป็นจริงมากขึ้น
นั่นก็คือ เราสามารถแบ่งแยกพรรคการเมืองออกเป็นพรรคสองแบบได้จริงเหรอ หมายถึง พรรคที่เน้นนโยบาย กับพรรคที่เน้นตัวบุคคล หรือเครือข่ายอุปถัมภ์
อธิบายง่ายๆ ก็คือ เราเคยเชื่อว่า พรรคการเมืองในประเทศที่เจริญแล้วนั้น จะเป็นพรรคการเมืองที่เน้นนโยบาย ขณะที่พรรคการเมืองในประเทศยังไม่เจริญทางการเมือง จะเป็นพรรคเฉพาะกิจ เน้นตัวบุคคล เน้นเครือข่ายในท้องถิ่น และประสานประโยชน์กับชนชั้นนำในท้องถิ่น
คำถามก็คือ พรรคการเมืองไทยนั้นสามารถแบ่งแยกได้แบบนี้จริงๆ หรือ หรือว่าสิ่งที่เราควรถามก็คือ ในแต่ละท้องถิ่น/ท้องที่นั้น พรรคการเมืองนั้นทำงานอย่างไร มีการผสมทั้งส่วนที่เป็นนโยบาย และเครือข่ายวัฒนธรรมและอำนาจในท้องถิ่นเข้ากันอย่างไร
ที่สำคัญการเติบโตของพรรคการเมืองมันจริงเหรอที่เกิดจากคนเลว และใช้เงินซื้อเสียง หรือมันเกิดจากการที่ระบบราชการ และระบบการปกครองจากส่วนกลางมันไร้ประสิทธิภาพ
เรื่องนี้ไม่มีการพยายามอธิบายอะไรให้มันชัดเจน ไม่เคยเอาประชาชนเป็นตัวตั้งว่า ดุลอำนาจที่แท้จริงที่ประชาชนจะได้ประโยชน์จากทั้งระบบราชการ และพรรคการเมืองในท้องถิ่นเป็นอย่างไร
จริงอยู่ว่า ในหลายพื้นที่นั้น ระบบการเมืองแบบที่เป็นอยู่นั้นอาจทำให้ประชาชนนั้นควบคุมพรรคการเมืองได้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ต้องถามเหมือนกันว่า ประชาชนในพื้นที่นั้นสามารถควบคุมและตรวจสอบระบบราชการได้ด้วยหรือไม่ การถอนอำนาจพรรคการเมืองในพื้นที่ออกมาหลายปี ทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบระบบราชการได้จริงหรือไม่
วันนี้สิ่งที่เห็นในกฎกติกาของประเทศนั้น พบว่าผู้ร่างน่าจะขาดจินตนาการและความเชื่อมั่นศรัทธาต่อพรรคการเมืองอย่างจริงจัง พวกเขาไม่มีภาพฝันของการเมืองรัฐสภาที่พรรคการเมืองเป็นแกนนำ แถมยังไล่บี้ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของนักการเมืองและพรรคการเมืองอย่างเอาเป็นเอาตาย
คำถามก็คือ ภายใต้กติกาใหม่ๆ นี้ การเมืองหลังการเลือกตั้งในรอบหน้านั้นจะทำงานได้อย่างไร
พรรคการเมืองไทยในวันนี้ลงหลักปักฐานในสังคมในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เหมือนกับที่เราจะมองเขาจากภายนอกท้องถิ่นว่า พรรคการเมืองไม่ได้สัมพันธ์กับชาวบ้าน-แม้ว่าความสัมพันธ์นั้นจะสลับซับซ้อน และผสมปนเปทั้งมิตินโยบาย และมิติของการเมืองวัฒนธรรม คงจะพูดได้ยากว่าประชาชนไม่รู้จักพรรคการเมือง แม้ว่า ส.ส.ของเขาจะย้ายพรรค แต่ตัวเลขการย้ายพรรคนั้นน้อยลงกว่าสมัยก่อนมากอย่างมีนัยสำคัญใช่หรือไม่?
ความเชื่อในการจำกัดอำนาจนักการเมือง และตัดตอนนักการเมืองและพรรคการเมืองผ่านการควบคุมที่เข้มงวดด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ จะทำให้การเมืองนั้นตอบสนองความใฝ่ฝันของประชาชนจริงๆ หรือตอบสนองต่อจินตนาการอันคับแคบและไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงของชนชั้นนำทางอำนาจกลุ่มหนึ่งที่ขาดฐานการสนับสนุนจากมวลชนและลอยตัวจากสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่
อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันครับ