เซียนหุ้น ประเมินแบงก์มะกันล่มไม่ลามไทย ดัชนีลงลึกสุดแล้ว แนะกลยุทธ์ลงทุน

เซียนหุ้น ประเมินแบงก์สหรัฐล่มไม่ลามไทย เชื่อดัชนีลงลึกสุดแล้ว นักลงทุนแพนิก ขายลดความเสี่ยง แนะกลยุทธ์ลงทุนที่นี่

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ วีไอ (Value Investor) เปิดเผยว่า กรณีการปิดธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) รวมถึงธนาคารซิกเนอเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) ที่ถูกสั่งปิดไปในสหรัฐนั้น เบื้องต้นผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเป็นทางอ้อม ทำให้นักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก (แพนิก) ทำให้ขายลดความเสี่ยงออกมา ดัชนีจึงปรับตัวลดลงรุนแรง แต่หากประเมินในแง่พื้นฐานหุ้นไทย ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันมากนัก จึงคาดว่าภาวะที่เกิดขึ้นน่าจะอยู่ไม่นาน และไม่น่าจะเป็นวิกฤตใหญ่มากนัก เพราะแบงก์ที่ถูกกระทบจริงๆ ก็เกี่ยวข้องในกลุ่มเทค ดิจิทัล เหรียญดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี) เป็นหลัก ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว

“แบงก์ที่มีปัญหาต้องปิดตัวลงนั้น เกี่ยวข้องกับคริปโทฯเป็นหลัก ซึ่งความจริงแล้วเหรียญดิจิทัลมีปัญหามาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้พักใหญ่แล้ว ตอนนี้จึงถือเป็นช่วงสุดท้ายที่รับไม่ไหว จึงต้องล่มสลายลง แม้จะทนมาได้มากพอสมควรก็ตาม แต่ประเมินในแบงก์อื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์เหล่านี้ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะแบงก์ขนาดใหญ่ของสหรัฐ ที่ยังอยู่ได้และรับไหว โดยการเข้ามารับภาระของรัฐบาลสหรัฐที่รวดเร็ม ก็ลดโอกาสเกิดปัญหาการการแห่ถอนเงินเพราะกังวลธนาคารล้มละลาย (Bank Run) ได้ ซึ่งอันนี้เป็นสาเหตุการล่มสลายของแบงก์อย่างแท้จริงด้วย” นายนิเวศน์ กล่าว

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีนี้ต่อตลาดหุ้นไทยในทางตรง มองว่าไม่น่าจะมีมากนัก เพราะบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยที่เกี่ยวข้องกับภาวะวิกฤตในการปิดแบงก์ของสหรัฐ มีน้อยมาก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในทางอ้อม มีในกลุ่มแบงก์ของไทย ที่มีความกังวลว่า สถาบันการเงินไทยอาจมีภาระอะไรที่ซ้อนไว้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีสภาพคล่องสูง เพราะนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นแบงก์เป็นจำนวนมาก จึงเกิดแพนิกเทขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นบ้าง รวมถึงแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศมีน้อย ทำให้คนวิตกว่าอาจเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาได้ ทำให้เมื่อมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่จากต่างชาติเกิดขึ้น ก็ทำให้ดัชนีหุ้นตกลง

Advertisement

เมื่อเกิดกรณีแบงก์สหรัฐล้มลงจนต้องปิดตัวแบบนี้ อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจในการชะลอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ลดลง หรืออาจไม่ปรับขึ้นต่อได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาไม่ให้ลุกลามมากกว่าเดิม สุดท้ายปัญหาก็จะหยุดลง โดยประเมินตลาดหุ้นไทยก็จะลดจังหวะการปรับตัวลดลงของดัชนีตาม เพราะประเมินสถาบันการเงินของไทย ไม่ได้มีปัญหาอะไร และพิสูจน์ได้จริงๆ ว่าไม่ได้ถูกเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ โดยต้องยอมรับว่าหุ้นไทยเพิ่งเริ่มลดลงเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เทียบกับตลาดหุ้นอื่นที่ปรับลดลงลึกก่อนหน้านี้ อาทิ เวียดนาม ที่ลดลงกว่า 10% ทำให้เมื่อลงมามากขนาดนี้แล้ว ไม่น่าจะลามต่อจนน่ากลัวมากเท่าที่ควร

กลยุทธ์การลงทุนในตอนนี้ ให้รอดูสถานการณ์ (Wait and See) ก่อน ประเมินภาพตลาดและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผลการประชุมเฟดขึ้นดอกเบี้ยช้าเร็วหรือลดลงมากน้อยอย่างไร การเลือกตั้งจะช่วยสนับสนุนตลาดได้มากน้อยเท่าใด รอให้ปัจจัยคลายตัวมากกว่านี้ก่อนค่อยเข้าซื้อสะสมอีกครั้ง โดยยังไม่คิดว่าเป็นโอกาสอะไรที่จะต้องรีบเข้าซื้อมากขนาดนั้น

 

Advertisement

อ่านข่าวน่าสนใจ:

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image