ส.อ.ท. ชี้ ขุนคลังคนใหม่ทำงานเต็มเวลา รู้โจทย์ลุยปลุกเศรษฐกิจ

ส.อ.ท. ชี้ขุนคลังคนใหม่ทำงานเต็มเวลา รู้โจทย์ลุยปลุกเศรษฐกิจ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่ ว่า เป็นการปรับแบบส่วนน้อย ไม่ได้ปรับใหญ่ หรือเรียกว่าเป็นการปรับแบบกะทัดรัด เน้นบางเรื่องที่ต้องการขับเคลื่อนต่อ โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ เป็นการปรับแต่งเครื่องให้พร้อมที่จะเดินต่อ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ จะเห็นว่าการปรับ ครม. ครั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับกระทรวงการคลัง โดยได้นายพิชัย ชุณหวชิร มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเต็มตัว ทำงานเต็มเวลา และมีรัฐมนตรีช่วยเพิ่มอีก 1 คน คือนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เท่ากับว่ากระทรวงการคลังจะมีผู้ที่คอยทำงานขับเคลื่อนนโยบายช่วยกันถึง 4 คน จากช่วง 7 เดือนแรกที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังด้วย งบประมาณปี 67 ล่าช้า 7-8 เดือน ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มาก

“ขณะนี้งบประมาณปี 2567 ผ่านเรียบร้อยแล้ว และงบประมาณปี 2568 กำลังจะออกมา เป็นเงินมหาศาล เมื่อรวมกับนโยบายเรือธงของรัฐบาลอย่างโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตที่จะออกในไตรมาส 4 ปีนี้ งานของการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงมีความสำคัญ เป็นจังหวะที่ลงตัวกันอย่างต่อเนื่อง การออกแบบทีมรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง จึงรองรับเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ ทั้งเร่งเบิกจ่าย และเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงนี้”นายเกรียงไกรกล่าว

นายเกรียงไกร กล่าวถึงข้อเสนอเอกชนต่อ ครม.ใหม่ ว่า หากถามว่าครม. ควรเร่งดำเนินการหรือไม่ คงต้องบอกว่ารัฐบาลเองน่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร ในความคิดเห็นส่วนตัวเชื่อว่ารัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ได้วางขั้นตอนทุกอย่างไว้หมดแล้ว ช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมา ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเงินงบประมาณยังไม่ออกมา แต่เวลางบประมาณ 2567 เดินหน้าแล้ว หวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ที่เข้ามาทำงานแบบเต็มเวลา และมีประสบการณ์จากบริษัทขนาดใหญ่ อยู่ในเหตุการณ์ของการแก้ไขวิกฤตหลายอย่าง หรือเรียกว่ามีความเข้าใจทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างดี และรัฐมนตรีช่วยอีก 3 คน จะเป็นทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป

Advertisement

นายเกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับการทำงานของ นายเศรษฐา มีสิ่งที่ทุกฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องที่ดีมากคือ การชวน 4 สถาบันการเงินขนาดใหญ่มาหารือ และขอความร่วมมือในการลดดอกเบี้ย 0.25% ให้กับกลุ่มเปราะบาง และเอสเอ็มอีก่อน 6 เดือน ทำให้เวลาสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานของรัฐ และสมาคมธนาคารไทยออกมาขานรับนโยบายดังกล่าว และจะทำการลดดอกเบี้ยตามไปด้วย

“ก่อนหน้านี้รอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ไม่เห็นผล ใช้ระยะเวลานาน การที่นายกรัฐมนตรีใช้วิธีคุยกับธนาคารพาณิชย์ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ลดต้นทุนทางการเงินให้ จะเห็นว่าการเจรจาได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยทางจิตวิทยาทำให้เกิดกำลังใจ อีกทั้งยังลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งการลดดังกล่าวทำให้ความรู้สึกของดอกเบี้ยที่เป็นส่วนต่างลดลงตามไปด้วย ส่งผลทำให้ดอกเบี้ยทั้งในระบบ และนอกระบบมีแนวโน้มลดลง ลดภาระ และลดต้นทุนให้กับเอสเอ็มอี และผู้กู้ ทำให้กำลังซื้อกลับมา”นายเกรียงไกร กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image