4พรรคประชันไอเดีย นโยบาย ศก.-อุตสาหกรรม

หมายเหตุ – สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดเสวนา วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเชิญตัวแทนพรรคการเมืองร่วมแสดงวิสัยทัศน์

สุวัจน์ ลิปตพัลลภ
ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า

วิธีการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น ต้องบอกว่าทุกคนคือนักลงทุน วันนี้มีสงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ มีน้ำมันแพง มีเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยขาขึ้น โลกร้อน และยังมีการใช้เศรษฐกิจใหม่อย่างบีซีจี อีเอสจี เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องคิดหนักและคิดนานในการลงทุน

Advertisement

ดังนั้น วิธีจะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ดีที่สุดต้องเอาจุดแข็งของประเทศไทยคือการท่องเที่ยว เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องการความเชื่อมั่น ไม่เกี่ยวกับเงินเฟ้อ ไม่เกี่ยวกับโลกร้อน ไม่เกี่ยวกับบีซีจี ไม่เกี่ยวกับอีเอสจี การท่องเที่ยวเกี่ยวข้องอย่างเดียวคืออาหารอร่อยหรือไม่ ปลอดภัยหรือไม่ และมีการต้อนรับดีแค่ไหน ฉะนั้น วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ฟื้นฟูดีที่สุด และเร็วที่สุดก็คือการท่องเที่ยวที่เป็นจุดแข็งของประเทศ

หากพูดถึงเมืองไทยเมืองท่องเที่ยวของโลกและรายได้จากการท่องเที่ยวแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ฉะนั้น พรรคชาติพัฒนากล้ามองเห็นว่าถ้าอาศัยการลงทุนอาจจะช้า ซึ่งเร็วที่สุดที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศคือการท่องเที่ยว จึงมีการนำเสนอนโยบายว่าเพิ่มนักท่องเที่ยวให้เป็นสองเท่า

วันนี้นักท่องเที่ยว 40 ล้านคน อัตราการเจริญเติบโตแค่ 20% โดยใน 4 ปีจะประมาณ 70-80 ล้านคน คนไทย 1 คนรับนักท่องเที่ยว 1 คน และนักท่องเที่ยวเคยอยู่ 10 วัน อาจจะเพิ่มเป็น 12 วัน เคยใช้จ่ายวันละ 5,000 บาทอาจจะเพิ่มเป็น 6,000 บาท ดังนั้น 70 ล้านคน คูณ 12 วัน คูณ 6,000 จะเท่ากับเม็ดเงิน 5 ล้านล้านบาท เพิ่มจาก 2 ล้านล้านบาท เพียงสร้างอัตราการเจริญเติบโตและทำเรื่องการท่องเที่ยวกันอย่างจริงจัง

Advertisement

รองลงมาจากการท่องเที่ยวก็คือการส่งออก แม้จะชะลอตัวลงนิดนึง แต่ถ้าหาตลาดใหม่ ตลาดตะวันออกกลางแอฟริกา ละตินอเมริกา ยังมีให้ประเทศไทยได้ไป ถือเป็นขั้นที่ 2

และขั้นที่ 3 ของการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็คือชาตินิยม การลงทุนในประเทศไทย การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน จะเป็นส่วนช่วยได้มากขึ้นเช่น ขณะนี้ไทยมีการค้า มีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) หากไปเร่งเรื่องการสร้างทางรถไฟ สนามบิน ใช้งบลงทุน 4-5 แสนล้านบาท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล

และขั้นสุดท้ายปรับฐานเศรษฐกิจในประเทศ จุดแข็งของเศรษฐกิจไทยคือการเป็นมหาอำนาจทางการเกษตร ข้าว อ้อย น้ำมัน ปาล์ม ข้าวโพด ไม่มีใครยิ่งใหญ่เท่าประเทศไทย แต่วันนี้ยังไม่ได้หยิบมาใช้ ยังไม่ได้ใส่เทคโนโลยี ยังไม่ได้ใส่อุตสาหกรรม ยังไม่ได้ใส่นวัตกรรมไปอย่างเต็มที่ ดังนั้น นี่คือจุดแข็งของประเทศไทย ฉะนั้น ถ้าทำแผนและไล่ตามสเต็ปเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเร็วขึ้น และลำดับต่อไปจะยั่งยืนโดยที่ไม่มีใครแข่งกับไทยได้

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญกันอยู่ขณะนี้ จะขับเคลื่อนอย่างไร จะเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันอย่างไร

สำคัญที่สุดก็คือเทคโนโลยี ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกเทคโนโลยีระดับต่ำแต่นำเข้าเทคโนโลยีระดับสูง เรียกว่าเสียดุลการค้า ฉะนั้น ไทยยังใช้เทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมน้อยมาก ต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการเพิ่มทักษะหรือรีสกิลแรงงาน รีโนเวตภาคอุตสาหกรรม นำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ วันนี้เรื่องบีซีจี คือเศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจสีเขียว และอีเอสจี เป็นเรื่องใหม่ของภาคอุตสาหกรรม ถ้าไม่รีบทำความเข้าใจต่อไปจะเจอปัญหาหนักกว่านี้

ดังนั้น วันนี้ต้องเทิร์นภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดมาสร้างอุตสาหกรรมที่อยู่บนจุดแข็งและเป็นอุตสาหกรรมใหม่ จะเป็นฐานใหม่ทำให้ไทยอยู่ได้ด้วยความยั่งยืนและเสริมสร้างจุดแข็งของประเทศ

พรรคชาติพัฒนากล้าจึงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่ เศรษฐกิจเฉดสี มูลค่า 5 ล้านล้านบาท คือแบ่งเศรษฐกิจเป็นสีต่างๆ เช่น สีเหลืองจะหยิบเรื่องซอฟต์เพาเวอร์ สีเขียวเรื่องสิ่งแวดล้อม สีขาวเรื่องท่องเที่ยวสายมู สีเงินเศรษฐกิจสุขภาพ เศรษฐกิจผู้สูงอายุ ทั้งหมดคือสิ่งที่พรรคชาติพัฒนาคิดอย่างเป็นระบบ อยู่บนพื้นฐานนโยบายใหญ่ที่เรียกว่างานดี มีเงิน ของไม่แพง

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ
และประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคเพื่อไทย

พรรคเพื่อไทยชูหลักคิด รัฐถือเป็นผู้ถือหุ้นของผู้ประกอบการทั้งหมด เพราะรัฐเก็บภาษี 20% ของกำไรในภาคเอกชน ผู้ที่มีสิทธิในส่วนแบ่งผลกำไรคือผู้ถือหุ้น ดังนั้น ผู้ถือหุ้นจะต้องมีบทบาท มีส่วนได้ส่วนเสียและต้องทำงานให้กับภาคเอกชน

ในการนำเสนอนโยบายพรรคตระหนักถึงกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเครื่องจักรสำคัญคือภาคธุรกิจ ภาคประกอบการ และภาคอุตสาหกรรม

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญและเชื่อว่าเป็นอุปสรรคมาโดยตลอดก็คือภาครัฐ สิ่งสำคัญอันดับแรกต้องเข้าใจร่วมกัน ในฐานะพรรคเพื่อไทยจะพลิกบทบาทจากรัฐอุปสรรคมาเป็นรัฐสนับสนุน และจะต้องขับเคลื่อนทุกกลไกเพื่อจะให้เศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกันและมีประสิทธิภาพ

1.พิจารณาว่าเครื่องยนต์ใดเป็นจุดแข็ง จุดอ่อน เครื่องยนต์ตัวใหม่และเก่าที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน โดยหน้าที่สำคัญของผู้ถือหุ้น 20% มีกลไกสำคัญที่ทำงานร่วมกันได้ ไม่ได้พูดลอยๆ เช่น มีการทำงานของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) แม้มี กรอ.ระดับจังหวัด แต่มีบทบาทน้อยกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด ขณะที่ผู้ว่าราชการมารับตำแหน่งแต่อยู่ได้ไม่นานก็ออกจากตำแหน่งไป หรือทำงานเอาใจแต่คนส่วนกลาง ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะแก้ปัญหาโดยกำหนดดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ของผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องพัฒนาเศรษฐกิจภายในจังหวัด

2.การรู้จักภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย รวมถึงกลไกต่างๆ คือการเจรจากับต่างประเทศ การหาตลาดและการลงทุน

3.การสนับสนุนการผลิตต่างๆ โดยด้านการลงทุน เรื่องการเงิน ผู้ประกอบการใหญ่ๆ มีความชำนาญ แต่ในด้านพลังงาน ต้นทุนพลังงานสำคัญ เร่งจะปรับโครงสร้าง และรู้ว่าจะปรับอย่างไร จะหาแหล่งพลังงานจากที่ใด และแน่นอนที่สุดการเพิ่มผลิตภาพก็เป็นเรื่องสำคัญ จะใช้กลไกภาษีมาช่วยลงทุนในการส่งเสริมปรับปรุงผลิตภาพ ไม่ว่าจะปรับปรุงเรื่องการลงทุนใหม่ หรือการฝึกฝนเพิ่มทักษะ ลดภาระในด้านคมนาคม (การขนส่ง) เป็นต้นทุนหนึ่งที่จะต้องปรับเพราะเป็นจุดอ่อนในเรื่องของต้นทุน

ที่สำคัญอุปสรรคต่างๆ ทางด้านกฎหมาย จะแก้ไขกฎหมาย จะนำเสนอเขตธุรกิจใหม่ นำเอาการลงทุนต่างๆ เข้ามาให้สะดวกขึ้น วันสต๊อปเซอร์วิสจะต้องเกิดขึ้น

ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) เรื่องสำคัญคือแหล่งทุนจากของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) อีกทั้งมีแหล่งทุนสำคัญๆ ดังนั้นจะใช้ข้อมูลเงินทุนจะผลักดันให้ใช้ data driven funding ข้อมูลที่เป็นหลักฐานจากการใช้จ่ายผ่านออนไลน์ จะผลักดันเรื่องนี้เพื่อเปิดโอกาสให้มีระบบคลาวด์ฟันดิ้ง ขณะนี้มี 6 สถาบันที่ได้ไลเซนส์แล้ว การเติบโตต่างๆ ของผู้ประกอบการจะดำเนินการต่อเนื่องได้

อีกประการ คือ การนำเอาสตาร์ตอัพ เอาเทคโนโลยีมาผสานกับผู้ประกอบการที่มีความคุ้นเคยกับตลาด และประการสุดท้าย ไทยต้องเท่าทันตลาดโลก เพราะอนาคตเรื่องของสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้น ขณะนี้มีเรื่องมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) จะร่วมกันทำทันทีเพื่อประโยชน์ของประเทศไทย เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยทำความฝันนี้สำเร็จได้

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
หัวหน้าพรรคก้าวไกล

นโยบายอุตสาหกรรมก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพื้นฟูเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมไทย มีสาระสำคัญ 3 ประเด็น คือ เริ่มต้นเรื่องของเป้าหมาย ปัจจุบันต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยยังเป็นแบบ low tech low touch อยู่

ที่ผ่านมาการส่งออกของประเทศไทยแทบจะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีลงไป ปี 2553 มีสัดส่วนการส่งออกในเทคโนโลยี 26.27% ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่ 27.67% สิบกว่าปีผ่านไปเทียบแล้วสัดส่วนการส่งออกในเทคโนโลยีก็ยังเท่าเดิม ขณะที่เวียดนามส่งออกเทคโนโลยี เริ่มต้นปี 2553 ที่ 13.13% ปัจจุบันขยับเป็น 41.74% นี้คือตัวอย่างที่เปลี่ยนผ่านมาสู่ high tech high touch ได้

ดังนั้น เป้าหมายร่วมกันที่พรรคการเมืองและสภาอุตสาหกรรมจะต้องทำร่วมกันคือ ต้องคิดว่าควรจะทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมไทยถูกพัฒนาให้กลายเป็นอุตสาหกรรมแบบ high tech high touch ทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมมีเทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในนั้น และมีดีไซน์อยู่ในนั้น พรรคก้าวไกลมีความตั้งใจเปลี่ยนดีไซน์ที่จะใส่แบรนด์ ใส่วัฒนธรรมไทยเข้าไป ให้มีความ high touch ซึ่งคือเป้าหมายใหญ่ และหากเป้าหมายไปในทางนั้น ทิศทางการพัฒนาก็ต้องเปลี่ยนตาม

แต่ก่อนเป้าหมายไทยคือ Made In Thailand อยู่มาถึงปัจจุบันกว่า 10 ปีแล้ว แต่ขณะนี้คิดว่าไม่ใช่เมดอินไทยแลนด์แล้ว ควรเปลี่ยนเป็น Made with Thailand ไม่กำหนดขอบเขตอยู่แค่ในไทย แต่ควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้ไทยเข้าไปอยู่กับซัพพลายเชน ให้ไทยเข้าไปอยู่ทุกที่ ไม่จำกัดตัวเองแค่ในอาณาจักร ทำให้ทิศทางการพัฒนาเปลี่ยนไป

เมื่อเป้าหมายเปลี่ยน ทิศทางก็เปลี่ยน ทำให้วาระที่ 3 เรื่องของปัจจัยการผลิตเปลี่ยนเช่นกัน ในอดีตมีอยู่ 2 แบบ คืออุตสาหกรรมเน้นแรงงาน (labor intensive) และอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องจักรมากกว่าแรงงานคน (capital intensive) ต่อไปถ้าจะให้เป็นอุตสาหกรรม 5.0 ที่เรียกว่า personalization หมายความจะทำอย่างไรให้เครื่องจักรกับคนมาทำงานร่วมกัน เพื่อผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมที่มีความหมายกับลูกค้า และมีความหมายกับมนุษยชาติ ทำอย่างไรให้มีคุณค่ามากกว่าราคาที่ถูกลง

ดังนั้น เมื่อคิดเป้าหมาย ทิศทางการพัฒนาเปลี่ยน จุดมุ่งหมายเปลี่ยนเป็นMade with Thailand เพราะฉะนั้นต้องทำการอัพเกรดประเทศไทย ผ่าน 4 นโยบาย 1.เรื่องกฎระเบียบภาครัฐ ต้องเพิ่มการแข่งขันในทุกอุตสาหกรรม อาทิ สุราก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม 2.เรื่องการศึกษา กลุ่มอาชีวะต้องเรียนฟรี ทุกวันนี้ไทยขาดแคลนแรงงานอาชีวะ แต่กลับมีคนจบอาชีวะน้อยมาก 3.เรื่องอุตสาหกรรมสนับสนุน ก้าวไกลสนับสนุนเรื่องการเปิดตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี 4.เรื่องการแก้ไขคอร์รัปชั่น ด้วยระบบเอไอจับโกง

สุชาติ ชมกลิ่น
กรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง
พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

โ จทย์สำคัญที่ ส.อ.ท.กำหนดโดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะต้องเห็นภาพและจับต้องได้นั้น ตัวอย่างวิกฤตโควิดที่ผ่านมา รัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 3.9 แสนราย โดยให้เงินสนับสนุนกับนายจ้างเพื่อพยุงโรงงานให้เดินต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือภาครัฐและเอกชนจะต้องหารือและช่วยเหลือกันเพื่อประคับประคองยอดการส่งออก ซึ่งช่วงที่ต่างประเทศมีปัญหาการส่งออก ในไทยยังโต 17% เกิดจากนโยบายรัฐบาลที่รับฟังทุกคน ช่วงวิกฤตโควิดมีการปิดโรงงานมากมาย เหตุผลคือหายนะของเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลชิงส่วนแบ่งการตลาดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ซัพพลายเชนปิด ด้วยการหาตลาดส่งออกและลงนามเอ็มโอยูต่างๆ ส่งผลให้ปี 2565 จากการประชุมใหญ่สามัญภูมิภาค บริษัทต่างๆ แจกโบนัสประจำปีให้กับพนักงาน

ปี 2565 ถือเป็นครั้งแรกที่อัตราการว่างงานไทยต่ำสุดในโลก 1% มีการจ้างงานตั้งแต่ไตรมาส 1-4 ระดับล้านคน ดังนั้น อยากฝากถึงรัฐบาลหน้าจะต้องใกล้ชิดผู้ประกอบการ ซึ่งเอกชนเขาเก่งอยู่แล้ว หากสร้างเงื่อนไขเยอะเพื่อเอื้อต่อการทุจริตก็ต้องตัดออก การสนับสนุนเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อไปดูแลลูกน้องและหากตั้งกองทุนได้จะช่วยเยียวยาเอสเอ็มอีได้ เอสเอ็มอีมีที่ดินหลัก 50-100 ล้านบาท ดังนั้น รัฐที่จะเข้ามาต้องใส่ใจและเปลี่ยนตัวเองเป็นเอสเอ็มอี จะได้รู้ว่าเอสเอ็มอีต้องการอะไร อุตสาหกรรมต้องการอะไร แล้วจะเติบโตได้เอง

สำหรับการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานและนโยบายค่าแรงขั้นต่ำนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำควบคู่กับ ส.อ.ท. และสภาหอการค้าทั่วประเทศ โดยแก้ปัญหาแทบทุกไตรมาส แรงงานที่ขาดแคลนคือแรงงานที่ไม่มีสกิล รัฐบาลได้แก้ไขตลอดคือการเอ็มโอยู แต่เพื่อนบ้านมีการสู้รบ การนำเข้ายากลำบาก จึงนำคนที่หลบหนีมาแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานก่อน เพื่อเติมส่วนที่ขาด ประเทศไทยโชคดีกว่าประเทศอื่นที่มีแรงงานเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่ยังคงห่วงคือ หากเพื่อนบ้านพัฒนาการลงทุนสูงขึ้น ไทยจะเสียแรงงานตรงนี้ไป

ในส่วนของการการปรับค่าแรงขั้นต่ำนั้น อยากให้ดูผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพแต่ละจังหวัด และหารือ 3 ฝ่ายจึงอยากให้เกิดจากการแข่งขันของนักลงทุน จะทำให้ค่าแรงปรับเองอัตโนมัติ เมื่อมีการแข่งขัน เศรษฐกิจโต จึงควรเน้นการอัพสกิลแรงงานผ่านการอบรมพัฒนาฝีมือจากกระทรวงแรงงาน เพื่อให้นายจ้างปรับฐานเงินเดือน และเราจะหนีกับดักค่าแรงขั้นต่ำ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image