สุชาติ ลั่นนโยบาย รทสช. ลุยดูแลแรงงาน-หนุน ศก.ภาคตะวันออก ชูผลงานอีอีซี 

สุชาติ ลั่นนโยบาย รทสช. ลุยดูแลแรงงาน-หนุน ศก.ภาคตะวันออก ชูผลงานอีอีซี 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา นายสุชาติ ชมกลิ่น กรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวระหว่างขึ้นเวทีดีเบตนโยบายในภาคตะวันออกของพรรคการเมือง หัวข้อ “Road to The Future : เลือกตั้ง 66 อนาคตประเทศไทย” ตอนหนึ่งว่า ภาคตะวันออกเป็นพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ อีอีซี ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำเอาไว้ ที่ผ่านมาช่วงเกิดโควิด-19 ได้ประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออก และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ยกตัวอย่างช่วงนั้น องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มาพบตนที่กระทรวงแรงงาน ซึ่งได้ขอบคุณ และชื่นชมที่กระทรวงแรงงาน ได้ทำโครงการแฟคตอรี่แซนด์บ๊อกซ์ และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วสภาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งประเทศไทย เพิ่งตกลงโบนัสกัน โดยบริษัทยานยนต์หลายแห่งได้จ่ายโบนัสให้พนักงานสูงสุดถึง 8.5 เท่า ซึ่งเป็นผลพวงจากโครงการแฟคตอรี่แซนด์บ๊อกซ์

“อดีตเมื่อครั้งเกิดโควิด-19 ระบาด กระทรวงแรงงานได้เสนอ ครม. ขอทำโครงการดังกล่าว เพื่อตรวจคัดกรองโควิดแบบ RT-PCR 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าตรวจเจอนำไปรักษาใน Hospitel ที่ได้เช่าโรงแรมกว่า 50,000 ห้อง ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ป่วยโควิดได้เข้าไปรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม นอกจากนี้ ยังฉีดวัคซีนโควิดจากกระทรวงสาธารณสุขให้แรงงานในสถานประกอบการ เพื่อไม่ต้องปิดโรงงาน เดินตามหลักเศรษฐศาสตร์ควบคู่สาธารณสุขทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตออเดอร์ส่งออกได้ตลอดเวลา”

Advertisement

นายสุชาติกล่าวว่า “ในขณะที่ประเทศอื่นผลิตไม่ได้ จนรัฐบาลสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ซัพพลายเชนปิด นอกจากนี้ อัตราว่างงานประเทศไทยต่ำสุดในโลกอยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ จากรายงานของ IMF เมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในไทย เกิดจากเรารักษาการจ้างงาน รัฐบาลให้เงิน SME หัวละ 3,000 บาท เรารักษาการจ้างงานไว้ 5.5 ล้านคน ภายในระยะเวลา 3 เดือนก่อนเปิดประเทศ อันนี้คือสิ่งหนึ่งที่เป็นเม็ดเงินในอีอีซีที่รัฐบาลช่วยอุดหนุน 1.9 หมื่นล้านบาท”

นายสุชาติกล่าวต่อว่า กรณีการเปิดประเทศฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียในรอบ 32 ปี ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และทำสำเร็จในยุครัฐบาลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ไปเปิดประเทศเพื่อส่งออกแรงงานไปทำงานในซาอุฯ ไม่ได้ไปเป็นกรรมกร แต่ส่งคนงานไปทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมัน ที่มีเงินเดือนสูงถึง 7-8 หมื่นบาท วันนี้สิ่งที่ได้จากการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุฯ ทำให้เรามีนักท่องเที่ยวบินเข้ามาในประเทศไทยหลายเที่ยวบิน เกิดการจับจ่ายใช้สอยมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยวในภาคตะวันออกด้วย และในส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น โดยส่วนตัวซึ่งอยู่ในฝ่ายบริหารมองว่า ยังยึดมั่นในระบบไตรภาคี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมของเศรษฐกิจภูมิภาค จีดีพีรายได้ต่อหัวแต่ละจังหวัดด้วย

นายสุชาติกล่าวถึงสิ่งที่พรรค รทสช.จะทำเพื่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานและพี่น้องประชาชนเมื่อกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งว่า เช่น บัตรสวัสดิการพลัส จากเดิมที่เคยได้ 300-400 บาท จะเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน ภาคตะวันออกมีแรงงานภาคอุตสาหกรรมหลายล้านคน การผลักดัน พ.ร.บ.ประกันสังคม 3 ข้อ ให้แล้วเสร็จ และจะคืนเงินชราภาพผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 จำนวน 30 เปอร์เซ็นต์

Advertisement

“เงินในส่วนนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล แต่เป็นเงินของกองทุนประกันสังคม ให้ผู้ประกันตนได้นำไปใช้ก่อนได้ โรงพยาบาลประกันสังคมเพื่อความภาคภูมิใจของผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งปรับเพิ่มเงินเลี้ยงดูแลบุตร จากเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ จากเดิม 800 ปรับเป็น 1,000 บาท เพิ่มเงินชราภาพ อายุ 55 ปี เป็น 10,000 บาท ซึ่งนโยบายเหล่านี้พรรค รทสช.ได้คิดไว้ทั้งหมดแล้ว”

ทั้งนี้ ในช่วงตอบคำถาม นายสุชาติได้ตอบคำถามในประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหานอมินีชาวต่างชาติและทุนสีเทา โดยมีแนวคิดว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องทำได้นั้น อย่างแรกต้องรู้ว่า แหล่งทุนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่นั้นมีแหล่งที่มาอย่างไร ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล รวมทั้งการตรวจสอบบัญชีธนาคารต่างๆ เพื่อเอานอมินีตัวจริงของแหล่งทุนต่างๆ ที่กระทำผิดมาลงโทษ เชื่อว่าหากเจ้าหน้าที่เคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ถูกต้อง และให้ความเป็นธรรม ก็จะสามารถป้องกันการเล็ดลอดของผู้กระทำความผิดปัญหาดังกล่าวไปได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image