I, Tonya ชีวิตที่เจ็บปวดของยอดนักฟิกเกอร์สเก็ต

I, Tonya ชีวิตที่เจ็บปวดของยอดนักฟิกเกอร์สเก็ต

รางวัลออสการ์นักแสดงนำยอดเยี่ยมหญิงปีนี้ขับเคี่ยวกันน่าดู ล่าสุดดู I, Tonya แล้วก็อดเทใจให้กับ มาร์โกต์ ร็อบบี้ ที่ในเรื่องนี้ ไม่มีคราบสาวสุดเอ็กซ์ เซ็กซี่ ติ๊งต๊อง ในบทฮาร์ลีย์ ควินน์ จากหนัง Suicide Squad ที่หนุ่มๆ ต่างพากันหลงรัก

มาร์โกต์ แสดงเป็นทอนย่า ฮาร์ดิง อดีตนักฟิกเกอร์สเก็ตที่ถูกแบนห้ามเป็นนักกีฬาและโค้ชสเก็ตตลอดชีพ จากคดีที่ศาลพิพากษาว่า เธอมีความผิดที่มีส่วนร่วมในการลอบทำร้าย แนนซี่ เคอร์ริแกน นักสเก็ตคู่แข่งคนสำคัญ จนบาดเจ็บสาหัสและต้องถอนตัวออกจากการแข่งขัน ส่งผลให้ทอนย่าคว้าแชมป์รายการนี้ พร้อมได้รับสิทธิเป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว ปี 1994

ถ้าใครคิดว่า หนังประเภท True Story ที่ได้เข้าชิงออสการ์มักไม่ค่อยสนุก อยากเชิญชวนให้ไปดูเรื่องนี้ นักแสดงทั้งมาร์โกต์ และ อัลลิสัน แจนนี ซึ่งแสดงเป็น ลาโวนา แม่สุดเลือดเย็นที่ทั้งถ่อยและหยาบคายของทอนย่า แสดงได้อย่างแสบทรวง ถึงพริกถึงขิง

อัลลิสัน ได้รางวัลนักแสดงหญิงสมทบจากเวทีลูกโลกทองคำไปแล้ว ส่วนมาร์โกต์ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์ตลกจากเวที Critics Choice Award แต่ทั้งคู่จะไปถึงออสการ์หรือไม่ ต้องติดตามดู

Advertisement

ยังสมทบด้วยนักแสดงชายที่แม้จะไม่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลใดๆ แต่ฝีมือการแสดงก็สุดแสนป่วน ทำให้หนังมีสีสัน ทั้งสนุก ขบขัน และงงๆ ว่า ในโลกนี้มีคนบื้อ บ้า และเซ่อซ่าขนาดนี้เชียวหรือ

คนแรก เซบาสเตียน สแตน แสดงเป็นเจฟฟ์ สามีทอนย่า ที่ลาโวนาแดกดันว่าทอนย่าแต่งงานกับ “ไอ้งั่งคนแรกที่ชมว่าแกสวย” แทบจะไม่รู้ว่า นี่เป็นนักแสดงหนุ่มหล่อคนเดียวกันกับ Winter Soldier ในเรื่องกัปตันอเมริกา

อีกคนคือ พอล วอลเตอร์ ฮาวเซอร์ แสดงเป็น ชอว์น ไอ้อ้วนเพื่อนเจฟฟ์ ที่คิดว่าตนเองเก่ง ฉลาด วันๆ พร่ำโม้ถึงความสามารถที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ปากพล่อย จนคนดูต้องหัวเราะสมเพชกับความไร้สาระของเขา

Advertisement

ทอนย่ามาจากครอบครัวที่ทั้งยากจนและขาดความรัก เธออยู่กับแม่ที่เข้มงวด เลี้ยงลูกแบบสุดโต่งและหยาบกระด้าง

ลาโวนาเคี่ยวเข็ญเธอให้เรียนสเก็ตตั้งแต่วัยเด็ก โหดขนาดปล่อยให้เธอฉี่ราดกลางลานสเก็ต เพราะค่าเรียนแพงเกินกว่าจะให้เสียเวลาไปเข้าห้องน้ำ ทั้งยังกดดันทอนย่าด้วยความคิดประหลาดว่า ทอนย่าจะชนะได้ก็เมื่อถูก “ยั่วประสาท” ถึงขนาดลงทุนจ้างคนให้มาตระโกนด่าลูกสาวตัวเองก่อนแข่งขัน เพื่อให้ทอนย่าลุกขึ้นฮึดสู้เพื่อเอาชนะ

ไม่แปลกที่ทอนย่าจะเติบโตแบบเด็กสาวที่กร้าวกระด้าง หยาบคาย ขาดความอบอุ่นจนคว้าผู้ชายหล่อแต่เซ่อ ซ้ำชอบตบตีเธอแบบเจฟฟ์มาเป็นสามี

รายล้อมตัวทอนย่ามีแต่บุคคลเป็นพิษ ที่ทำลายชีวิตเธอป่นปี้ นอกจากเจฟฟ์แล้ว ทอนย่ามีแม่ที่รักเธอหรือเปล่าไม่รู้ ฉากพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างทอนย่าและลาโวนา เกือบทำให้เราซาบซึ้ง ทอนย่าจิตตกและกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง ลาโวนามาหาลูก ภาพแม่ลูกที่กำลังจะกอดกันเป็นครั้งแรกเป็นภาพที่คนดูลุ้นให้เกิดขึ้น อยากให้มีสักครั้งที่ลาโวนาแสดงให้เห็นว่าเธอรักลูก

แต่ทอนย่ารู้จักแม่ของเธอดีกว่าใคร ฉากนี้จึงกลายเป็นฝันค้างของคนดู

ผู้กำกับ เครก จิลเลสพี นำเสนอเรื่องราวของทอนย่าได้อย่างมีสีสัน เจ็บแสบ โดยเรียบเรียงเรื่องไปตามเวลาตั้งแต่ทอนย่าเล็กจนโต ผ่านบทสัมภาษณ์ตัวละคร ตั้งแต่ทอนย่า เจฟฟ์ ลาโวนา ชอว์น นักข่าวที่ทำข่าวทอนย่า ฯลฯ โดยให้แต่ละคนเล่าเรื่องในมุมมองของตน เป็นการดำเนินเรื่องที่สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ

หลายซีนคนดูขบขันความโง่ ทึ่ม และความหยาบคายของตัวละคร แต่เป็นความขบขันที่มาพร้อมความเศร้า ชีวิตนักกีฬาที่มีพรสวรรค์มากมายคนหนึ่ง ถูกทารุณกรรมทั้งร่างกายและจิตใจ และไม่ใช่แค่จากคนในครอบครัวเท่านั้น แต่จากบรรทัดฐานของสังคมอเมริกันในยุคนั้นด้วย

ทอนย่าไม่ใช่นักกีฬาที่เป็นภาพลักษณ์ของนักฟิกเกอร์สเก็ตอเมริกันขณะนั้น สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมที่อเมริกาพูดถึง เป็นเพียงการโฆษณาชวนชื่อ เพราะไม่ว่าทอนย่าจะสเก็ตได้ดีขนาดไหน กรรมการก็จะให้คะแนนเธอในระดับหนึ่ง โดยอ้างเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับลีลาการเล่นสเก็ต เช่น ชุดไม่สวย ครอบครัวไม่สมบูรณ์ กริยามารยาทไม่ดี

ฉะนั้น ถ้าทอนย่าอยากชนะ เธอต้องสเก็ตในแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้ ซึ่งทอนย่าก็ทำสำเร็จ เธอเป็นนักสเก็ตหญิงคนแรกของสหรัฐ ที่สามารถกระโดดหมุนตัวสามรอบได้

มาร์โกต์สวมบททอนย่าได้อย่างไม่ห่วงสวย โผงผางวีนแตก คลั่ง อาละวาด น้ำหูน้ำตาเลอะเทอะ โดยแสดงเป็นทอนย่าตั้งแต่วัย 15 ปี จนถึง 40 กว่าปี เธอเล่าว่า เวลาถ่ายทำบางวัน ตอนเช้าเธอแสดงเป็นเด็กสาวอายุ 15 พอตอนบ่ายกลายเป็นหญิงวัย 40

ในเรื่องนี้เธอต้องเรียนการเล่นสเก็ต ฝีมือแท้จริงของเธอเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ด้วยฝีมือการตัดต่อ ลีลาสเก็ตของทอนย่าในหนังเนียนตาราวเธอแสดงเอง และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้เข้าชิงออสการ์สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยมด้วย

I, Tonya ให้ข้อคิดคนดูหลายอย่าง การจะขึ้นมาเป็นสุดยอดด้านใดด้านหนึ่ง ต้องฝึกฝนทุ่มเท พรสวรรค์ต้องมาพร้อมพรแสวง ชีวิตครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญที่จะเป็นพลัง ให้คนเราบรรลุถึงความฝัน การศึกษาเป็นเรื่องจำเป็น

ถ้าทอนย่ามีการศึกษากว่านี้สักหน่อย เธอคงจะมีสติในการพิจารณาสิ่งต่างๆ มากกว่านี้ ตั้งแต่การรับมือกับแม่สุดเฮี้ยบ ไม่เลือกเจฟฟ์เป็นสามี หรือมีวิธีการเจรจากับกรรมการที่มีอคติกับเธอได้นุ่มนวลกว่านี้

ทอนย่าจะมีส่วนในการทำร้ายคู่แข่งขันของเธอจริงๆ หรือไม่ หนังไม่ได้ชี้ชัด แต่ที่ชัดเจนคือตลอดชีวิตเธอ เธอเป็นผู้ที่ถูกกระทำ และชีวิตพังทลายเพราะคนรอบข้าง

มีฉากสองฉากที่ดูแล้วเจ็บลึก ฉากทอนย่าอ้อนวอนศาล ไม่ให้มีคำตัดสินอันส่งผลให้เธอถูกแบนจากวงการสเก็ตตลอดชีพ เมื่อสเก็ตคือชีวิตของเธอ คำตัดสินนี้คือการทำลายอาชีพ อนาคต และความฝันทุกอย่าง

และฉากตอนท้ายๆ ที่เธอผันชีวิตไปเป็นนักมวย ทอนย่าถูกต่อยล้มคว่ำ ฟันกระเด็นเลือดกลบปาก พ่ายแพ้แบบหมดทางต่อสู้

หนังย้อนกลับไปเปรียบเทียบภาพเธอใส่ชุดสีฟ้าสดใสกระโดดหมุนตัวได้เป็นครั้งแรก ขณะนั้นโลกเหมือนอยู่ในมือเธอ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนักมวยที่ใบหน้ายับเยินเลือดไหลนอง แม้แววตายังสู้ แต่โอกาสดีๆ ไม่มีผ่านเข้ามาในชีวิตอีกแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image