หากเอ่ยชื่อ ศิริพร อำไพพงษ์ ถึงจะไม่ใช่คนฟังเพลงสายลูกทุ่ง แต่ก็ต้องเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง เพราะนักร้องลูกทุ่งอีสานและหมอลำคนนี้ ที่อยู่ในวงการเพลงมายาวนานกว่า 30 ปี มีเพลงดังและติดหูไม่น้อย อาทิ โบว์รักสีดำ, ปริญญาใจ, เพื่อแม่แพ้บ่ได้ ฯลฯ และล่าสุดกับเพลง ผู้หญิงหลายมือ ก็ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน ซึ่งกับเส้นทางการทำงานของเธอ ‘นาง ศิริพร’ ในวัย 54 กะรัตได้เล่าให้เราได้ฟังว่า
“ก็ไม่อยากจะเชื่อนะว่าทำไมเด็กบ้านๆ คนหนึ่ง ความรู้น้อย เสียงไม่ดี แต่ก็ยังมีพี่น้องเมตตา”
“เราต้องยอมรับในความเป็นจริงว่าการเป็นนักร้องเป็นได้ทุกคน แต่ใครจะอยู่ในวงการได้นานกว่าเท่านั้น ในความรู้สึกเรา เราอยู่มาสามสิบกว่าปี ก็ไม่ใช่ว่าธรรมดานะ” เล่าพลางหัวเราะ
“สมัยนั้นต้องคัดแล้วคัดอีก ยาก สมัยนี้จับไมค์ก็เป็นนักร้องได้แล้ว ลงยูทูปฉันเป็นนักร้องแล้ว มันง่ายมากๆในการโฆษณาโดยไม่ต้องมีบริษัทก็จัดเองได้ เป็นพิธีกรเองได้”
และเมื่อถามถึงความสำเร็จที่ได้รับ นักร้องคนดังก็ยิ้ม แล้วว่าโดยส่วนตัวถือว่าอยู่ในระดับน่าพอใจ
“เป็นนักร้องทำวงใหญ่ๆ มีเวที 9 ชั้น แดนเซอร์หางเครื่องเป็นร้อยๆ ก็ทำมาแล้ว”
เวลาเดินสายไปแสดงแต่ละที ก็ใช้รถบัส 4 คัน รวมทั้งยังมีรถอื่นๆที่ใช้ขนอุปกรณ์ ขนคน เบ็ดเสร็จรวมแล้วก็ตก 20 คัน ขับเป็นขบวนตามกันไป
“ได้รับความเมตตาจากแฟนๆ เยอะมาก” ว่าแล้วก็ยิ้มอีก
แต่แม้จะได้รับความรักจากแฟนเพลงกลับมากมายขนาดนั้น ในอีกด้านหนึ่งเธอกลับบอกว่า “มีมุมที่รู้สึกแย่”
ด้วยเหตุที่ว่า “เราดูแลพ่อแม่ไม่ได้เต็มที่ตอนมีชื่อเสียง”
“สมัยนั้นกับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน สมัยนั้นนักร้องมีน้อย ถ้าจ้างก็จ้างแต่คนนี้”
ที่เธอทำตอนนั้นจึงได้แต่ส่งเงินให้ ส่วนการดูแลตกเป็นหน้าที่ของน้อง ซึ่งในความรู้สึกของเธอนั้น การให้เงินกับการไปอยู่ดูแลจริงๆนั้นต่างกันมากยิ่งเวลาพ่อกับแม่ป่วยด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“หน้าเวทีเราต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ตอนเข้าไปหลังเวทีค่อยว่ากัน”
เพราะ “ถ้าก้าวขึ้นบันได ก้าวขึ้นเวทีก็คือศิริพร” ที่ “ไม่มีใครรู้” ว่าในใจบอบช้ำแค่ไหน และร้องไห้น้ำตาไหลเพียงใดเมื่ออยู่หลังเวที
แต่ก็นะ ถ้าจะถามว่าแล้วทำไมไม่เลือกที่จะหยุด หรือเลือกที่จะไม่รับงาน ปัญหาเรื่องเงินก็จะตามมา
“ถ้าไม่หาเงิน โรคแต่ละโรคไม่ได้ใช้เงินน้อยๆ เป็นหลักแสนหลักล้านขึ้นเลยนะ”
ที่ผ่านมาศิริพรบอกว่าแม้จะมีคนติดงานมาเยอะแค่ไหน แต่ที่เธอเคยรับไว้มากสุดก็แค่ 5 งานต่อวัน ด้วยตั้งใจจะทำทุกงานอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุผลที่ว่า “หากแฟนเพลงเสียความรู้สึก เราก็เสียความรู้สึกด้วย”
ทุกงานจึงตั้งใจจัดเวลาให้แฟนๆได้พบปะและฟังเพลงอย่างชุ่มฉ่ำ
“ไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้รับสิ่งดีๆ มาจากแฟนเพลง กลับได้สิ่งที่ไม่ดีกลับมา เพราะว่าเขาด่าเรา”
นักร้องคนดังยังยอมรับด้วยว่า ก่อนหน้าจะมาลงตัวที่มากสุด 5 งานต่อวัน เธอเคยผ่านช่วงเวลาที่รับๆๆๆๆ และก็ได้รับเสียงสะท้อนกลับในทางลบมาก่อน ครั้นจะบอกคนที่ดูแลอยู่ว่า “อย่ารับงานขนาดนี้หนูไม่ไหว” ก็ไม่กล้า ท่องแต่ว่าต้องอดทน แล้วก็ “คลานขึ้นบันได” ไปสู่เวทีเพื่อทำการแสดง เป็นอยู่จนนี้กระทั่งเสียงเริ่มมีปัญหา
“ตามหลักแหบของศิริพรคือแหบธรรมชาติ แต่พอเราร้องทุกวันอ่ะ แล้วความที่เป็นคนไม่ค่อยนอน มันก็มีผล”
การจะลิปซิงค์ก็ไม่ใช่แนว เพราะรู้สึกว่าการไม่ร้องเพลงสดคือการเอาเปรียบคนฟัง ดังนั้นจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนทั้งการรับงานจากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆลงตัว
ขณะเดียวกันในเรื่องของเสียง เธอก็ใส่ใจดูแลให้มากขึ้น พร้อมเผยเคล็ดลับว่า “อย่ากินมันเยอะ”
โดยเฉพาะแคปหมู ที่สำหรับคนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ตัวเธอเองกินเมื่อไหร่ อาการทางเสียงก็มาเมื่อนั้น
ตลอดอายุการทำงานในวงการเพลงที่ผ่านมา ศิริพรบอกว่าแม้จะมีหลายเรื่องที่นึกย้อนแล้วรู้สึกว่าน่าเสียดายดังที่ยกตัวอย่างข้างต้น หากในแง่ของความประทับใจจนจำได้ไม่ลืมมาจนถึงทุกวันนี้ก็มีเช่นกัน ภาพที่แฟนๆแห่แหนมาดูการแสดงคอนเสิร์ตของเธอตามสถานที่ต่างๆ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงเรื่องในทางสายบุญ ด้วยพอรู้ว่าเธอตั้งใจจะทำบุญที่ไหน หลายคนก็ฝากปัจจัยมาร่วมทำบุญด้วย
” มันน่าภูมิใจไหมล่ะ ที่เราทำคุณงามความดี แล้วมีคนรู้จักเรามาทำบุญร่วมกับเราจนได้ปัจจัยไปทำบุญส่วนหนึ่ง”ศิริพรบอกพลางยิ้ม
ส่วนเมื่อถามถึงการวางตัวที่ทำให้อยู่ในวงการเพลงมีชื่อเสียงได้นานขนาดนี้ ศิริพรก็บอกเลย “ว่าขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งหมด”
“เราจะวางตัวยังไง จะหยิ่ง จะถือตัว จะทำตัวยุ่งยากไหม ขึ้นอยู่กับตัวศิลปินทั้งนั้น”
ซึ่งสำหรับตัวเอง ศิริพรบอกว่า เธอมักจะทำตัวง่ายๆ
“ถ้าเราทำตัวยาก มันจะไปยาก อยู่ยากมากๆ แต่ถ้าสบายๆ ไปไหนไปเหอะ ไม่ต้องมากลัว แต่ขอแค่ความเกรงใจกันนิดหน่อยเท่านั้น”
ทุกวันนี้ศิริพรบอกว่างานในวงการเธอยังไม่ทิ้ง ขณะเดียวกันเรื่องงานบุญก็ตั้งใจจะทำต่อเนื่องไม่ให้ขาด ตามที่คิดไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งตามพ่อและแม่เข้าวัดทำบุญตั้งแต่เด็ก
“เราตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าวันใดฉันมีเงิน ฉันจะทำบุญเยอะๆ พอได้ทิปมาเราก็เริ่มทำบุญ ก็ทำไปหลายล้านมากจากทิปที่แฟนๆให้หน้าเวที”
“ตั้งใจจะต่อทุนบุญเอาไว้ ต่อไปเรื่อยๆ เพราะบุญมองไม่เห็น แต่มันติดตัวเราทุกวินาที เวลาเราเกิดเหตุร้ายๆทำไมมันพลิกเพราะบุญช่วยนี่เอง”
การทำบุญแต่ละครั้งเธอบอกว่าหมดเท่าไหร่ จะหลักแสนหรือหลักล้านก็ไม่มีเสียดายมั่นใจว่า “เดี๋ยวบุญก็ช่วย เราก็ไปหาใหม่” เธอว่าอย่างนั้น