นก จริยา เล่า จากคนไม่มีศาสนาจนถึงวันที่ปลงผมบวชชี เคลียร์ถูกมองมีปัญหาครอบครัว

นก จริยา เล่า จากคนไม่มีศาสนาจนถึงวันที่ปลงผมบวชชี เคลียร์ถูกมองมีปัญหาครอบครัว

หลังจากที่ตัดสินใจปลงผมบวชชีจนหลายคนแอบสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สำหรับ นักแสดงและผู้จัดมากความสามารถ นก จริยา แอนโฟเน่ ล่าสุดเจ้าตัวก็ได้มาเปิดใจที่ในรายการคุยแซ่บShow เล่าถึงทุกเรื่องราวในชีวิตให้ฟัง

เป็นคำถามของสังคมเยอะมากๆ ที่หลายคนอยากรู้ว่าจริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
“ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้รู้อะไรมากมาย จริงๆ เราก็เป็นมนุษย์ปกติที่วันนึงมีความรู้สึกว่าอยากเข้าไปศึกษาแล้วก็เรียนรู้และเอาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับพระธรรมคำสั่งสอนมากขึ้น เราอยากจะรู้ว่าตัวเองจะได้อะไร จะไม่ได้อะไร มันเป็นการเข้าไปศึกษาด้วยตัวเอง”

Advertisement

หลังจากได้ไปปฎิบัติชีวิตคมขึ้น ชัดขึ้น มันคือยังไง ?
“พอได้ให้โอกาสตัวเองไปเรียนรู้ ค่อยๆเข้าไปเข้าใจ ไม่ได้ถึงกับเข้าไปปั๊ปนิ่งแล้ว สงบแล้ว อันนั้นคือคิดเอง  แต่ค่อยๆ เข้าไปเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ตอนนี้ตัวเองรู้สึกแบบไหน ทำยังไงจะรู้แล้วเข้าใจในอารมณ์ที่เป็นอยู่ ณ ตอนนั้น”

สิ่งหนึ่งที่พี่นกตัดสินใจเลยคือไม่ใช่แค่ปฎิบัติธรรมคือโกนหัวบวชด้วย ?
“ตอนแรกพี่ก็ไม่คิดนะว่าจะไปถึงจุดนั้น ก่อนหน้านี้ ณ ความเป็น จริยา 40 กว่าปีไม่เฉียดวัด ไม่มีศาสนา ไม่รู้ว่าคืออะไร และเป็นคนที่เชื่อตัวเอง ฉันไม่ได้เลวฉันเป็นคนดีคนหนึ่ง ทำแต่เรื่องดีๆ คิดดี แล้วยังนึกไม่ออกว่าหลักธรรมคืออะไร ความดีจากศาสนาจะมีประโยชน์อะไรกับตัวเอง คือห่างมาก พี่เป็นคนเชื่อตัวเองระดับนั้น จนกระทั่งถึงอายุนึงอะไรหลายๆ อย่างสอนว่าเรายังโง่อีกเยอะ ยังถูกความหวั่นไหว ยังถูกการกระตุ้นที่ทำให้เราเกิดทุกข์ได้ตลอดเวลา ถ้าเกิดว่ามีหลักใดหลักนึงที่เรายังไม่เรียนรู้แล้ว ถ้าเกิดเราเรียนรู้และสามารถสร้างสติให้กับชีวิตเราได้ ทำไมเราไม่ลองล่ะ ก็บอกกับตัวเองว่าทำไมเราไม่ลองเรียนรู้”

Advertisement

เมื่อกี๊สะดุดคำนึงคำว่า “ไม่มีศาสนา” เชื่อว่าเราทำดีได้ดี คิดดีได้ดี แต่พี่นกไม่ได้เชื่อในบาปบุญ เวรกรรมอะไรแบบนี้ใช่มั้ย  ?
“เกิดมาในพุทธศาสนาเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีที่เข้าใจว่าการที่เข้าไปนั่งสวดมนต์ไหว้พระในแต่ละครั้ง ฉันพูดอะไร เพราะว่าพอเป็นบาลีสันสกฤต พูดไปเป็นนกแก้วนกขุนทอง แล้วไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดอะไรอยู่ ก็เลยใช้คำว่าเหมือนคนไม่มีศาสนามากกว่า เพราะไม่มีความเข้าใจเกิดขึ้นเลย ทำอะไรตามรูปแบบที่ทำตามๆ กันมา”

จุดที่ทำให้พี่นกได้เริ่มเข้ามาศึกษาธรรมะจากคนที่บอกว่าไม่มีศาสนานั่นคือช่วงสถานการณ์โควิดมันเกิดอะไรขึ้น ?
“ตอนโควิดเป็นไปทั้งโลกเลยนะ เราฟังแต่ข่าวที่แต่ละวันมีคนตายกี่คน มันทำให้พี่มีจังหวะสตั๊นท์กับชีวิต เราเห็นคนใกล้ตัวเราต้องเลิกอาชีพ ครอบครัวเขาลำบากมากนะ เราเองก็ต้องหยุดกองถ่าย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะการที่จะรวมตัวของคนกองถ่ายไม่ได้ แล้วเราเห็นลูกน้องลำบากกับครอบครัว ตัวพ่อพี่เองกำลังรักษาโรคมะเร็งอะไรใดๆ วิกฤตไปหมด เพราะเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ ในโรงพยาบาลมีแต่คนเสียชีวิตรายวันมีเงินก็ซื้อชีวิตไว้ไม่ได้ มันเกิดสิ่งนี้ได้ยังไง แล้วพี่เก็บความรู้สึกเครียดเอาไว้กับตัวไว้เยอะมาก ไม่อยากให้ใครลืมภาวะนี้เลย อยากให้ทุกคนเก็บไว้เตือนใจว่าความไม่แน่นอนของชีวิตเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”

ตอนนั้นพี่นกเกิดอาการแพนิกเบาๆ ?
“ใช่ค่ะ คือมันเครียดสะสมมา จนกระทั่งคุณพ่อเสียซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย เราต้องเก็บความแข็งแรงเอาไว้ พอเสร็จจากการเสียคุณพ่อไปแล้ว ทำพิธีไปแล้ว ลูกน้องจะทักว่าพี่ดูเครียดขึ้น ท่าเดินพี่เปลี่ยน จากคนที่เดินตรงๆ ท่าเดินพี่จะห่อลง พี่จะไปอยู่มุมเล็กๆของพี่ไม่ค่อยอยู่กับคนเยอะและตอนนอนกลางคืนจะผวาตื่นทั้งคืนเลย ก็เลยรู้ได้เลยว่าไม่มีความสุขเลย หลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองจนไปถึงวันที่เกลียดตัวเองว่าทำไมเป็นขนาดนี้ เกลียดตัวเองมากเลยนะ เพราะจากคนที่รักตัวเองมากๆ เกิดอะไรเป็นอะไรอยู่ดีๆ จะอ่อนแอ”

เราไม่เหมือนเดิมเพราะว่าเราไม่สามารถยื้อคนที่เรารักที่สุดไว้ได้ใช่หรือเปล่า ?
“การยื้อไม่ได้ เราไม่ได้คิดว่าตรงนั้นเป็นปัญหา แต่มีความรู้สึกว่าถ้ามันไม่ใช่ภาวะนั้นเราจะดูแลอะไรได้ดีกว่านี้ มันก็เลยกลับไปทับถมตัวเองไปส่งผลต่อข้างในโดยที่เราไม่รู้ตัว”

จุดไหนที่พี่นกรู้สึกว่าอาการผิดปกติของแพนิกมันเกิดขึ้นกับเรารุนแรงที่สุด ?
“มีจังหวะที่ขับรถ เป็นคนที่ชอบขับรถมาก จะไปทำงานหรือไปอะไรใดๆ จะขับรถเองไม่ใช้คนขับรถเพราะว่าชอบร้องเพลง ขอบดูโน่นดูนี่ตอนขับรถ แล้วมีอยู่วันนึงเราเหนื่อยมากเราเพลีย แล้วเรากำลังพุ่งเข้าไปท้ายรถบรรทุก แล้วเราก็เห็นท้ายรถบรรทุกอยู่ตรงหน้าเรา ใจเราก็สั่นๆ ขึ้นมาทันทีว่าฉันไม่ได้มีชีวิตกลับไปเจอลูกอีกแล้วแน่ๆ เลย ตกใจก็มือเท้าเย็นควบคุมไม่ได้ มันไม่รู้ว่าเท้าจะเหยียบเบรกหรือจะเหยียบคันเร่ง แต่นิดนึงมันก็ยังมีความรู้สึกว่าค่อยๆ เหยียบเบรคแล้วค่อยๆ เข้าข้างทางแล้วก็อยู่ข้างทาง 2 ชั่วโมงออกมาไม่ได้อีกเลย จากวันนี้พี่ก็ขับรถไม่ได้อีกเลย 3 ปี เพราะว่าทุกครั้งที่จับพวงมาลัยพี่จะสั่น สั่นแล้วก็ขับรถไม่ได้แล้วก็เกลียดตัวเองเพราะว่าฉันชอบการขับรถ ร้องเพลง และมีความสุขไปคนเดียวนั่นคือความสุขอย่างหนึ่งของพี่ แล้วมันก็ไม่เข้าใจก็ยังพยายามอยู่หลายทีมันก็ยังขับไม่ได้ พอเราจะไปไหนมันเหมือนจะเป็นภาระคนอื่น ไม่ชอบเลย จนกระทั่งถึงวันที่เดินไม่ได้ ไปเดินห้างกับลูกสาว ลูกสาวเห็นว่าเครียดก็พาไปเดินช้อปตอนนั้นห้างเริ่มเปิดแล้ว ไปเปลี่ยนบรรยากาศนะมี๊ ไปเดินกับเขาแล้วอยู่ดีๆ ก็ผวาอะไรไม่รู้สักอย่าง เข่ามันอ่อน ลงไปนั่งอยู่กับพื้น แล้วก็บอกว่า จีนส์ๆ มี๊เดินไม่ได้ มันไม่มีแรงที่จะสั่งให้ขาลุกขึ้นมาแล้วก็เดิน ไม่มีแรง จีนส์ก็บอกว่ามี๊อย่าเครียด ค่อยๆ หายใจ เหมือนจะดีขึ้นลูกสาวพาไปนั่งกินข้าวก็กินไม่ได้ วันนั้นมันมีความรู้สึกว่า เราอยากร้องไห้ มันเกิดอะไรขึ้นจากคนที่แข็งแรงมาก เราเป็นบ้าอะไร เกลียดมากเลย ก็บอกตัวเองว่าต้องหาหมอ”

สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาคุณหมอ บอกอาการต่างๆที่เกิดขึ้นมา คุณหมอบอกว่าเป็นแพนิก ?
“ใช่ค่ะ จากความเครียดสะสม คุณหมอบอกว่าคุณนกไม่ต้องตกใจคนเป็นกันเยอะมาก แต่จะเป็นระดับไหนแค่นั้นเอง และคนที่มีความรับผิดชอบเยอะๆ มันสามารถเป็นสิ่งนี้ได้ ณ ตอนนี้เรามารับข้อมูลและเรารู้ว่าเราเป็นแล้วเราจะไปแบบตรงไหน ตั้งสติแบบไหน”

เห็นว่าไม่ได้ดีขึ้นจนมีอยู่วันนึงพี่นกบอกว่าไม่อยากอยู่แล้วบนโลกใบนี้ ?
“มันเบื่อนะที่ต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลา มันมีเสี้ยววินาทีนั้นนะคะที่อันตราย มันมีความรู้สึกว่าตายก็ดีนะ มันมีเสี้ยววินาทีนั้นและมันสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้”

การที่เราเข้าใจอารมณ์ตัวเองมันทำให้แพนิกเรามันลดลงเหมือนกับที่ตัดสินใจไปบวชครั้งนี้เกี่ยวด้วยมั้ย ?
“คือจริงๆ แล้วพอหลายอย่างมันเริ่มสอน เราไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด เราก็อ่อนแอได้ เราต้องกลับมาดูตัวเราเองแล้ว มันก็มีความรู้สึกว่า เราก็เริ่มรักษาตัวเองแล้ว เราลองมาอ่านหนังสือดูซิอะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แล้วลองเปิดใจกับคำว่า พุทธศาสนาอย่างจริงจัง พอเห็นพระพี่จอนบวช เราก็มีความรู้สึกว่าดีจัง อยากให้โอกาสให้เขาบวชแล้วก็สนับสนุนมาตลอด แล้วถ้าเราบวชล่ะ จะเป็นยังไงก็ถามตัวเอง ก็เดินเข้าไปอยากปฏิบัติธรรม วันนึงก็ได้เดินเข้าไปที่เสถียรธรรมสถานอยู่ใกล้บ้าน เราเคยได้มีโอกาสทำงานกับคุณแม่ศันสนีย์มาบ้าง ไปกราบกายสังขารของคุณแม่ที่ตั้งอยู่มีความรู้สึกว่า ทำไมเราไม่บวชล่ะ สำหรับพี่ตอนนั้นคือเปิดใจแล้วก็เรียนรู้ไปเลย ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเราโกนหัวแล้ว เราบวชเดี๋ยวผมมันก็ขึ้น เราก็หันไปมองหน้าลูกว่าบวชเดี๋ยวนี้เลยเนาะ ลูกก็บอกว่าแล้วแต่หม่ามี๊เลย หม่ามี๊สบายใจยังไงถ้าเคลียร์งานได้ ก็บอกว่าเดี๋ยวกลับไปบอกปะป๊าก่อน ก็กลับไปปรึกษาที่บ้านทุกคนก็บอกว่าอยากทำๆ เลย เรามีความรู้สึกว่าชีวิตเป็นของเราแล้ววันรุ่งขึ้นจะเป็นยังไง สุขภาพเราจะได้มาบวชมั้ย หรือว่าเราออกไปจะรถชนตายตอนไหนก็ไม่รู้ วันนี้มีโอกาสทำอะไรให้ตัวเองแล้ว ทำเถอะ”

ผู้หญิงเรามีผม มีคิ้วสวยๆ ผู้หญิงแบบพี่นกดูแลตัวเองมาดีตลอด มันมีอาการแพนิกหรือกลัวอะไรมั้ย ?
“วินาทีที่โกนผมมันจะคิดมาตลอดว่าเราจะเกิดอุปสรรคอะไรในใจมั้ย ทำให้เราหม่นมั้ย ทำให้เรากังวลมั้ย เราโกนผมแล้วตกใจกลัวอาการแพนิกมา แต่ว่าในพิธีพอเริ่มเข้าไปสู่จุดที่นั่งที่จะบวช ผู้ใหญ่ที่มาวันนั้นมีพี่จิ๋มมาทำหน้าที่แทนแม่ ปาดแรกที่ปาดเข้าไปแล้ว ผมออกแล้วเนี่ยเราบอกตัวเองว่าละแล้วนะ คำว่าองค์ใดพระสัมพุทธ มันขึ้นมาทันที แล้วก็มีความรู้สึกว่าดีใจจังเลย เราให้โอกาสตัวเอง องค์ใดพระสัมพุทธใดๆ เกิดขึ้นแล้ว เราขอให้ท่านเปิดโอกาสให้เราเป็นผู้บวชเรียน เข้ามาได้ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ เป็นจังหวะที่พี่จิ๋ม เราก็ขอพี่จิ๋มมาคือเหมือนแม่เราคนที่ให้ชีวิตให้อาชีพให้โอกาสทุกอย่างเลยกับเรา เดินเข้ามาปลงผมให้ แล้วเราก็ได้ล้างเท้าท่าน เงยหน้าขึ้นมองกันแล้วก็รู้สึกว่าดีใจจังเลย ที่ให้โอกาสตัวเองได้ตอบแทนผู้มีพระคุณและทำสิ่งนี้ แล้วครอบครัวก็เข้ามา กัลยาณมิตรก็เข้ามา ทุกคนดีใจกับวาระนี้จ้องพี่ พี่ว่าความสุขกับปีติมันเกิดขึ้นน้ำตาไหลตลอดเวลา”

ครอบครัวพูดอะไรกับพี่นกบ้าง  ?
“ก็บอกว่าให้ทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องมีห่วงกับที่บ้าน ได้แต่ขอบคุณทุกคนได้ให้โอกาสกับผู้หญิงคนนี้ได้ไปศึกษาพระธรรม”

อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกือบจะไม่ได้บวช ?
“คงไม่ถึงตรงนั้น แต่มันมีนิสัยไม่ดีอยู่วันนึง คือ วันที่พี่ขึ้นจอดำ วันนั้นมันคงเป็นอะไรนิดนึงที่ทำให้เป็นจุดกลับมาสอนตัวเราเองด้วย พี่ไม่ชอบคนที่สื่อสารกับคนไม่ดี แล้วไม่ชอบคนใช้อำนาจ ไม่ชอบคนที่ชอบสร้างวจีกรรมกับคนอื่นแล้วทำให้คนเจ็บปวด วันนั้นมันมีการดีลเรื่องงานแล้วมันมีการสื่อสารอะไรแบบนี้ออกมาแล้วพี่โกรธ พี่โมโห พี่เกลียดคนประเภทแบบนี้ พี่ก็ยังไม่ทันที่จะยั้งอะไรใดๆ ฉันจะต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เพราะฉันจะไม่ยอมให้มันผ่านไป ซึ่งวันนั้นพอเราโกรธแล้วทำให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ซักพักนึงเราก็กลับมาคิดคนนั้นคนนี้เป็นห่วงเราไปหมดเลย แล้วคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือพี่จอน เพราะทุกคนพุ่งเป้าไปว่ามีปัญหาครอบครัวแน่ๆ พระก็ถามว่าเธอทำอะไร ฉันเดือดร้อนนะ ฉันต้องตอบคำถามคนเยอะแยะเลย เราก็เลยลงขอโทษในโพสต์ต่อๆ ไปว่าเรามีสติน้อยไป เราใช้อารมณ์วู่วามไป ก็เป็นบทเรียนให้ตัวเรา”

ตอนแรกจะบวช 15 วันสุดท้ายบวชได้แค่ 12 วัน เพราะอะไร ?
“พระพี่จอนตอนนั้นยังไม่ได้บวชก็ดูแลบ้านแทนอยู่ แล้วบ้านกำลังรีโนเวทแต่ว่าเหมือนมีวาระที่จะต้องบวชแล้วแกก็บอกมาว่าจะต้องบวชวันที่ 6 ไปได้มั้ย แต่ถ้ายังกังวลใดๆ ไม่เป็นไรเดี๋ยวไว้บวชรอบอื่นก็ได้ เราก็มีความรู้สึกว่าเราก็มาบวชแล้ว ครอบครัวก็เอื้อให้เรามา ได้มามีความสุขตรงนี้ เราก็อยากเอื้อวาระนี้ให้กับพระพี่จอนด้วยได้ไปบวชอีทีนึงที่ศรีลังกาก็เลยจัดสรรวันกัน พี่สึกก่อนกำหนดสัก 3 วันเพื่อไปจัดการหน้าที่อะไรใดๆ แทน”

พี่นกบวชเสร็จ พระพี่จอนก็บวชต่อเลยมีข่าวเม้าท์ว่าหรือชีวิตคู่ไม่เหมือนเดิมมีปัญหากัน ?
“คือจริงๆแล้วทุกข์สุขใดๆมันมีมาตลอด มันไม่มีหรอกราบเรียบมีความสุข จนมาตอนนี้เราต้องใช้คำว่าเราเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน เรายังอำกันเลยว่าพี่สึกออกมาพระไปบวชต่อ ชอบพูดเล่นจนเป็นเรื่องว่าคนต้องนึกว่าเกลียดกันไม่อยากอยู่บ้านเดียวกัน แต่จริงๆแล้วมันไม่มีอะไร มันคืออยากส่งวาระเป็นสุขใจให้กัน”

เรื่องที่รู้สึกว่าเป็นลิ้นกับฟันมากที่สุดคือเรื่องอะไร ?
“เรื่องที่เพลี่ยงพล้ำบ้าง ต้องมีการดึงสติบ้างก็เคยทะเลาะกัน จัดกระเป๋าให้เลยออกไปเลยนะ ก็มีมาเรียนรู้กันใหม่”

เคยถึงขั้นจะเลิกกัน แยกกันอยู่เลย ?
“เคย ก็กรณีเพลี่ยงพล้ำนี่แหละค่ะ กรณีแบบว่ามีวูบวาบมีโน่นมีนี่ พี่ก็เป็นคนมั่นใจตัวเองนะ คือเลิกๆ ได้ตอนนั้นนะ แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองทำผิดแล้วเปลี่ยนแล้วก็มาปรับ เราก็ให้โอกาสได้ แต่อย่าบ่อยมันก็มีขีดจำกัด พระก็ปรับให้บ้างเท่าที่เห็น เท่าที่ไม่เห็นอันนี้ไม่รู้ ออกนอกบ้านไปแล้วบางทีจะให้เราตามหรอ ก็ไม่ตามหรอก แต่ก็ไม่ตามหรอก แต่ก็บอกเขาว่าหน้าอย่างนี้เดินไปที่ไหนในประเทศใครๆ เขาก็รู้นะว่าถ้าผู้หญิงที่ไม่ใช้หน้าแบบฉันไปนั่งอยู่กับเธอก็สัมภเวสีแหละนะ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image