| ที่มา | มติชนรายวันหน้า 18 |
|---|---|
| เผยแพร่ |
เปิดเรื่องราว บุตรบุญธรรมชาวไทย ‘ชีวิตใหม่’ ในครอบครัวต่างชาติ
บุตรบุญธรรมชาวไทย – แม้ว่าเด็กหลายคน อาจเกิดมามีโอกาสไม่เท่ากับคนอื่น อาจด้วยความไม่พร้อมของครอบครัว แต่พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้รับชีวิตใหม่
โดยเป็นภาระหน้าที่ของ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ที่รับผิดชอบการจัดหาครอบครัวบุญธรรมให้กับเด็กไทย ในลักษณะครอบครัวทดแทนถาวร ให้เด็กได้เติบโตในบรรยากาศของครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคง ทั้งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ป้องกันการซื้อขายเด็ก และถือเป็นโอกาสอันดี ที่พวกเขาจะได้เยี่ยมบ้านเกิดใน โครงการสู่มาตุภูมิ ครั้งที่ 9 ที่ห้องบอลรูม 3 โรงแรม รอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ
ในครั้งนี้มีบุตรบุญธรรมเป็นเด็กไทย 139 คน 115 ครอบครัว จาก 16 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย แคนาดา ฟินแลนด์ เยอรมนี อิตาลี นิวซีแลนด์ สวีเดน และสหรัฐ มาร่วมงานในครั้งนี้ พร้อมออกทัศนศึกษาเชิงนิเวศและวัฒนธรรม ที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย จ.สุพรรณบุรี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง จ.อุดรธานี รวมถึงศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธุ์
1 ในครอบครัวที่รับบุตรบุญธรรม โจซ ฟรานซิสโก และ เอว่า อลาคอน ครอบครัวนักการทูตจากฟินแลนด์ ที่รับอุปการะ ไมย่า ไอริส รัชดาวรรณ มิโลเนน ไปอุปการะตั้งแต่ปี 2003 หลังจากมีลูกชายแล้ว 1 คน แต่ไม่สามารถมีลูกได้อีก เผยว่า เพราะมีลูกอีกคนได้ยาก แต่อยากมีครอบครัวใหญ่ขึ้น จึงสนใจในประเทศไทยเพราะมีระบบการทำงานด้านอุปการะเด็กที่ดี นอกจากนั้น ยังรู้สึกประทับใจประเทศไทย ตั้งแต่มีลูกคนนี้ ก็เหมือนมีช่วงเวลาพิเศษในชีวิต ทำให้เรามีความสุข
ด้าน ไมย่า ไอริส รัชดาวรรณ มิโลเนน สาวไทยวัย 18 ปี จากสถานสงเคราะห์เด็กบ้านสงขลา กล่าวว่า ถูกรับเลี้ยงตั้งแต่ตอน 1 ปี 8 เดือน ครอบครัวใหม่ได้ให้ความรัก เฉกเช่นเด็กสาวคนอื่นๆ ด้วย และมีโอกาสได้ไปอยู่ที่แอฟริกาอย่าง นามิเบีย เคนยา จากงานของครอบครัว แต่อย่างไรก็ไม่ลืมความเป็นไทย ครอบครัวเคยพามาที่ไทยไปจังหวัดสงขลา นอกจากนี้ ยังเรียนภาษาไทยบางคำ และเรียนรำไทย รู้สึกประทับใจทุกครั้งที่ได้มาเมืองไทย โดยเฉพาะผู้คน
ขณะที่ อังตอน มาร์ติน หนุ่มไทยวัย 18 ปี ซึ่งเดินทางมากับพี่ชายชาวเวียดนาม คิม มาร์ติน วัย 19 ปี ที่ได้รับอุปการะโดยครอบครัวฝรั่งเศส กล่าวว่า ดีใจที่มีโอกาสได้มีชีวิตใหม่ ผมได้รับอุปการะไปจาก จ.สงขลา ที่นั่นก็มีชีวิตที่ดีเหมือนนักเรียนไฮสคูลคนอื่นๆ การมาเมืองไทยทำให้รู้สึกประทับใจ เหมือนได้เห็นว่าจริงๆ เราเกิดมาจากอะไร ได้รู้เรื่องวัฒนธรรมและความเป็นไทย มีความสุขมาก
ด้าน ฟาเบียน ยุทธนา เซดริก เบลลอง อายุ 22 ปี จากสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า ในครอบครัว มีพี่น้องชาวกัวเตมาลา และตูนิเซีย ที่พ่อแม่รับมาอุปการะอยู่แล้ว ชีวิตตอนที่เดินทางไปอยู่ที่สวิสแรกๆ ต้องปรับตัวไม่น้อย โดยเฉพาะในโรงเรียน ทั้งภาษาที่ใช้ฝรั่งเศสไม่ใช่อังกฤษ อยู่ที่นู่นก็มีคนไทยไปพักอยู่ด้วยบ้าง ทำให้ได้ฝึกภาษาไทย ทั้งมีโอกาสได้มาเยือนไทยหลายครั้ง ทั้งที่อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ ทุกวันนี้เรียนด้านวิศวกรรม และมีความฝันอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น
แต่กว่าที่ชาวต่างชาติจะรับเด็กไว้ในอุปการะ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ศิริรัตน์ กาญจน์กำธร ผู้อำนวยการกลุ่มงานเลขานุการ คณะกรรมการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม เผยว่า การที่ชาวต่างชาติจะรับเด็กไทยเป็นบุตรบุญธรรม เผยว่า ประเทศไทย มี พ.ร.บ.รับบุตรบุญธรรม ที่มีข้อกำหนดชัดเจน แต่ละครอบครัวก็ต้องยื่นเรื่องผ่านเอเยนซี่ของเขามาให้องค์กรนั้นๆ ตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น ดูความพร้อมต่างๆ ทั้งประวัติอาชญากรรม การรับรองรายได้ รวมไปถึงต้องมีนักจิตวิทยาคลินิกรับรองว่าสภาพจิตใจพร้อมหรือไม่
“เมื่อแมตช์เด็กได้แล้ว ครอบครัวต้องบินมาอยู่กับเด็กก่อนช่วงหนึ่งว่าเข้ากันได้หรือไม่ ก่อนจะมีการสัมภาษณ์อีกครั้งจนผ่าน และเมื่อไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ก็ต้องมีรายงานทั้งเรื่องสุขภาพและพัฒนาการเด็กช่วง 6 เดือนแรก 3 ครั้ง เมื่อผ่านจึงสามารถจดทะเบียนได้ ทั้งหมดต้องเตรียมความพร้อมทั้งครอบครัว ที่มีคอร์สเรื่องการเลี้ยงลูก การบอกความจริงกับลูก ขณะที่เด็กก็จะต้องเตรียมพร้อมด้วย”
ศิริรัตน์ เผยอีกว่า ประเทศไทยถือว่ามีระเบียบที่ชัดเจนทำให้ต่างชาติสนใจมาก เพราะเราโปร่งใส ส่วนใหญ่รับเด็กไปในช่วง 3-6 ปี ซึ่งปรับตัวง่าย ช่วงหลัง ฝรั่งเศสรับไปเลี้ยงจำนวนมาก และมีคิวรออยู่ถึง 300 กว่าราย เราให้เด็กเป็นที่ตั้ง ให้เขามีความสุขที่สุด มากกว่า 99% ทุกคนมีความสุขดี นานครั้งจะมีที่รับไปแล้วพ่อแม่พบว่าตัวเองไม่พร้อม ซึ่งเราก็มีระเบียบว่าหากเลี้ยงไม่ได้ ก็ต้องส่งเด็กกลับมาที่ไทย ซึ่งเราก็มีกฎว่าเด็กต้องรู้ความจริงว่าเป็นคนไทย
ชีวิตใหม่
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เส้นทางชีวิต ‘ลูกบุญธรรม’ ในอ้อมอก ‘พ่อแม่ต่างชาติ’
ครอบครัวไทยรับเลี้ยง ‘ลูกบุญธรรม’ เพิ่ม 7 เท่าตัว
