พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้ารัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติประเทศไทย มอบหมาย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้แทนนำคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วย พล.ต.อ.สุเทพ เดชรักษา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่รองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ครั้งที่ 11 (11th ASEAN Ministerial Meeting on Transnational Crime) ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ระหว่าง 18 – 220กันยายน 2560
ทั้งนี้ในการประชุมครบองค์คณะระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ หรือ AMMTC ในวันนี้ (วันที่ 20 กันยายน) ที่ประชุมได้ร่วมหารือได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติ รวมถึงแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในการร่วมกันรับมือต่อปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรองเอกสารสำคัญ ได้แก่ แถลงการณ์มะนิลาว่าด้วยการต่อต้านการเพิ่มขึ้นของลัทธินิยมความรุนแรงและกลุ่มคนหัวรุนแรง และแถลงการณ์อาเซียนว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในการป้องกันและปราบปรามกลุ่มคนหัวรุนแรงและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
นอกจากนี้ ยังได้เข้าร่วมการประชุมวาระพิเศษเรื่องการขยายตัวของกลุ่มคนหัวรุนแรงและการนิยมความรุนแรง ครั้งที่ 2 ซึ่งผู้แทนไทยได้กล่าวต่อที่ประชุมถึงความสำคัญของการป้องกันการขยายตัวของกลุ่มคน
หัวรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการใช้พื้นที่ไซเบอร์ในการแพร่ขยายของแนวคิดสุดโต่งทางศาสนา ซึ่งยากต่อการเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการต่อต้าน
ขณะเดียวกันไทยยังให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมบทบาทของทุกภาคส่วนในสังคมในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง เพื่อเป็นกลไกในการป้องกันและยับยั้งการสร้างทัศนคตินิยมความรุนแรงของคนในสังคม อีกทั้ง การสร้างชุมชนเข้มแข็งนั้นยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูและปรับทัศนคติของกลุ่มคนหัวรุนแรง ให้สามารถกลับเข้ามาใช้ชีวิตอย่างปกติในสังคมได้ และสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันอย่างใกล้ชิดของหน่วยบังคับใช้กฎหมายของประเทศในภูมิภาคในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มหัวรุนแรงและผู้ให้การสนับสนุน รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนจากการปฏิบัติซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในรับมือต่อภัยคุกคามด้านการก่อการร้ายและการแพร่ขยายของแนวคิดสุดโต่งในภูมิภาค
