‘วิทยา’ร้องอสส.ถ่วงดุล หลังโดนคดีหมิ่นตร. ระบุปฏิรูปตำรวจยังวนในอ่าง เริ่มหมดหวัง จี้’บิ๊กตู่’ดูแล

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือต่อนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด (อสส.) ขอให้ส่งพนักงานอัยการเข้าร่วมตรวจสอบถ่วงดุลตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ดำเนินคดีนายวิทยาในข้อหาหมิ่นประมาทตร. จากการให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะวิทยุและโทรทัศน์ช่องหนึ่ง โดยมีนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนรับเรื่อง

นายวิทยา กล่าวว่า เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ได้ให้สัมภาษณ์การซื้อขายตำแหน่งใน ตร. จนเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการสอบดำเนินการกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในการซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งการสอบดังกล่าวก็ไม่คืบหน้า ทั้งคนสอบคนถูกสอบเกษียณหมดแล้ว ระหว่างนั้น ผบ.ตร. ได้ให้ตัวแทน สตช.ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับตนที่สน.ปทุมวัน ในข้อหาหมิ่นประมาทตณ. โดย ไม่เคยเชิญตนไปให้การ ทราบแต่ว่าได้เรียกสื่อมวลชนหลายสำนักไปสอบ เมื่อตนไปที่ สน.ปทุมวัน ขอทราบความคืบหน้า มีตัวแทนฝ่ายสอบสวนมาชี้แจงว่าสอบพยานไปแล้วประมาณ 6 ปาก ยังต้องสอบอีกเยอะ เพราะเป็นเรื่องความเห็นว่าหมิ่นไม่หมิ่น ฟังแล้วก็ไม่มีหลักประกันว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ จะได้ว่ากันในศาล ตนไม่ได้เกรงว่าจะต้องขึ้นศาล คดีที่เกิดขึ้นไม่ใช่คดีแรก พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ก็โดน นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ก็โดน พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ก็โดน รวมถึงตนก็โดนแจ้งข้อหานี้ เป็นขบวนการของการปิดปากภาคประชาชนในการแสดงความคิดเห็น

นายวิทยา กล่าวต่อไปว่า ที่สำคัญ ตร.เป็นผู้เสียหาย ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของ ตร..ไปแจ้งความ แล้วใช้คนของ ตร.สอบตน จะได้รับความเป็นธรรมอย่างไร กระบวนการแบบนี้มีมาโดยตลอด วันที่ตร.หรือพนักงานสอบสวนมีผลประโยชน์ทับซ้อนใครจะตรวจสอบ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุเรื่องการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจสอบสวนโดยอัยการสูงสุด ตามมาตรา 258 ตนจึงมายื่นต่อ อสส.เพื่อให้ใช้ช่องกฎหมายเข้าไป

“ซึ่งท่านชี้แจงเบื้องต้นว่ายังไม่มีกฎหมายลูกเรื่องนี้ ถามว่าแล้วประชาชนอย่างผมจะขอความเป็นธรรมกับใคร ต้องไปหานายกฯ ขอใช้ ม.44 หรือไปเจอใคร ทั้งหมดนี้ต้องการสะท้อนไปยังคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจที่ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน ซึ่งว่ายอยู่ในอ่างจนถึงทุกวันนี้ไม่ขยับไปไหนเลย ตอบคำถามสังคมได้หรือยังว่าการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจด้วยเป็นธรรมมีกระบวนการจบหรือยัง ถ้าโยกย้ายอีกรอบจะมีเรื่องแบบเดิมอีกหรือไม่ จะมีหลักประกันอย่างไร และเรื่องงานสอบสวนที่วนอยู่ในอ่างจะแยกไม่แยก ถ้าเกิดกรณีเช่นตนกับประชาชน ประชาชนมีเรื่องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือมีข้อพิพาทกับตำรวจ ประชาชนจะพึ่งใคร” นายวิทยากล่าว เเละว่า“ผมในฐานะคนที่รณรงค์สู้ตลอดให้ปฏิรูปตำรวจมาตลอด และจะทำจนกว่าจะจบ ยืนยันว่าผมรู้สึกไม่คืบหน้าเลย แล้วก็เริ่มจะหมดความหวัง คำตอบที่เราต้องการคือปฏิรูปตำรวจ ประชาชนได้อะไร ไม่เคยถกกันในคณะกรรมการเลย ถกกันแต่ว่าตัวเองจะได้อะไร ถ้ายิ่งฝากความหวังไม่ได้ผมคิดว่าท่านนายกฯ ต้องลงมาดูครับ เพราะถ้าไม่ลงมาดูแล้วกระบวนการปฏิรูปตำรวจเหลว ไม่มีอะไร และประชาชนพึ่งพาไม่ได้ ทั้งหมดผมต้องการสะท้อนให้ผู้บริหารประเทศและคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจได้เริ่มต้นทำจริงๆ เสียที มองถึงประชาชนครับ วันนี้ผมถอดเสื้อนักการเมืองออกหมดแล้ว ผมคือประชาชนคนหนึ่ง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเล่นงานกับประชาชนคนหนึ่ง ผมเรียกร้องความเป็นธรรมไปยังท่านนายกฯ ช่วยดูแลผมด้วย เพราะท่านเป็นคนแรกที่ออกมาขอบคุณผมในกรณีที่เปิดเผยเรื่องการซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และท่านก็เห็นด้วยในการที่จะปฏิรูปตำรวจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ และท่านให้แนวคณะกรรมการปฏิรูปไป 3-4 ประเด็น ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยดำเนินการแม้แต่เรื่องเดียว นายกฯ ต้องใช้กำลังที่มีทำเรื่องจริงจังเสียที เพราะว่าประชาชนฝากความหวังกับท่าน อย่าให้ผมและประชาชนทั่วไปหมดหวังกับการปฏิรูปตำรวจ และก็หมดหวังกับรัฐบาลไปเรื่อยๆ” นายวิทยา กล่าว

Advertisement

ด้านนายโกศลวัฒน์ ระบุว่า จะนำเรื่องกราบเรียน อสส. หากผลการพิจารณาเป็นอย่างไรก็จะแจ้งให้นายวิทยาทราบต่อไป ซึ่งกระบวนการในการร้องขอความเป็นธรรมจะต้องมีการสอบสวนดูให้ครบถ้วน อย่างกรณีนี้รัฐธรรมนูญเขียนไว้แต่ไม่มีกฎหมายลูก เราก็จะดูกฎหมายอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วว่าจะช่วยดูแลให้ความเป็นธรรมได้อย่างไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image