เปิดประวัติ ดาบวิชัย ผู้ประกาศว่า จะปลูกต้นไม้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะตาย

เปิดประวัติ ดาบวิชัย ผู้ประกาศว่า จะปลูกต้นไม้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย

การเสียชีวิตของ ดาบวิชัย หรือ ยศล่าสุด ร้อยตำรวจตรี วิชัย สุริยุทธ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในสังคมไทย จากการที่เขาเป็นผู้ปลูกต้นไม้มากกว่าสามล้านต้นในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ จนสามารถทำให้อำเภอปรางค์กู่ อำเภอที่เคยจัดว่าแห้งแล้งที่สุด ปัจจุบันเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มากอีกแห่งหนึ่ง

การจากไปของดาบวิชัย สร้างความอาลัยแก่คนคุ้นเคย รวมทั้งคนที่ติดตามเรื่องราวข่าวสารของชายคนนี้เป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจากเขาเป็นเหมือนต้นแบบที่ดีอย่างยิ่ง สำหรับการพยายามดูแลสิ่งแวดล้อม แม้ตัวเองเป็นแค่คนเล็กๆ คนหนึ่งในสังคม ซึ่งในเวลาต่อมา การกระทำของชายผู้นี้ กลับเป็นที่ประจักษ์ เป็นตัวอย่าง อย่างยิ่งใหญ่ให้ผู้คนในสังคมเห็นความสำคัญของการปลูกต้นไม้ เพื่อสร้างความร่มรื่น สร้างธรรมชาติอันดีงามในท้องถิ่นของตัวเอง ส่งผลให้ท้องที่อื่นๆ เอาเป็นแบบอย่าง

Advertisement

ร้อยตำรวจตรี วิชัย สุริยุทธ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2489 ในพื้นที่อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนทั้งหมด 6 คน บิดามารดามีอาชีพชาวนา ฐานะทางบ้านจึงยากจน ขณะเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มารดาก็เสียชีวิต บิดาจึงต้องทำนาคนเดียว และเขาจึงต้องรับจ้างทำงานสารพัด กระทั่งได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย

ในชีวิตข้าราชการตำรวจ หลังจบโรงเรียนพลตำรวจ 3 จังหวัดนครราชสีมา ในปี พ.ศ.2511 ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองศรีสะเกษ ต่อมาในปี พ.ศ.2513 ย้ายมาประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอปรางค์กู่

กระทั่งในปี พ.ศ.2548 ได้รับพระราชทานยศเป็นกรณีพิเศษเป็น “ร้อยตำรวจตรี” จากการอุทิศตนต่อประเทศชาติ

Advertisement

จนเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ.2549 ขณะดำรงตำแหน่งผู้บังคับหมู่งานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรอำเภอปรางค์กู่

ได้รับฉายา คนบ้าปลูกต้นไม้

จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ในปี 2530 อำเภอปรางค์กู่เป็นอำเภอที่ยากจนที่สุดในจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย มีการปล้นชิงลักขโมยเป็นคดีความมากมาย

ดาบวิชัยในฐานะผู้เติบโตมาในพื้นที่และเจ้าพนักงานสอบสวนรับรู้ถึงปัญหามาตลอด จึงเกิดความคิดที่จะพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ให้ดีขึ้น จากความคิดของเขา ทำให้เขาตัดสินใจปลูกต้นไม้ เนื่องจากเห็นว่าจะผลที่จะตามมาจะเป็นผลที่ยั่งยืน เป็นประโยชน์ไปถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลาน

พ.ศ.2531 เป็นต้นมา ทุกเช้าและหลังเลิกงานของวัน ดาบวิชัยจะขับจักรยานยนต์ ตระเวนปลูกต้นไม้ไปตามพื้นที่ต่างๆ ในอำเภอปรางค์กู่ โดยในระยะแรก ในสายตาชาวบ้าน เขาถูกมองว่าเป็นคนบ้า แม้ว่าจะถูกสังคมมองไปในทางเช่นนั้น เขาก็ยังคงปลูกต้นไม้อยู่เรื่อยไป

พ.ศ.2541 เป็นต้นมาสังคมเริ่มเห็นผลจากการปลูกต้นไม้ของเขา เกิดโครงการปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะเพื่อส่วนรวมเกิดขึ้น ได้แก่ รณรงค์ปลูกต้นยางนา เพื่อเอาไว้สร้างบ้านเรือน รณรงค์ปลูกต้นตาล ซึ่งเป็นพืชสารพัดประโยชน์ รณรงค์ปลูกต้นคูน ต้นไม้ประจำภาคอีสานและประจำชาติไทย และรณรงค์ให้เปลี่ยนการทำนาปีเป็นไร่นาสวนผสม

จนอำเภอปรางค์กู่กลายเป็นอำเภอที่อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งต้นไม้ที่เขาปลูกนั้นสามารถสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในอำเภอได้

พ.ศ.2543 ประชาคมอำเภอปรางค์กู่ทั้ง 10 ตำบล ได้พร้อมใจกันลงมติให้ใช้ 4 โครงการรณรงค์ดังกล่าวเป็นคำขวัญของอำเภอปรางค์กู่ ที่ว่า “ปรางค์กู่อยู่ในป่ายางกลางดงตาล บานสะพรั่งดอกคูน บริบูรณ์ไร่นาสวนผสม”

ดาบวิชัยเคยพูดเอาไว้ว่า “ผมว่าโลกของวัตถุเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้นแหละครับ ความสุขที่แท้จริง ก็อยู่กับธรรมชาติ และรู้จักเคารพธรรมชาติ ต้นไม้นี่ผมจะต้องปลูก ปลูกไปเรื่อยๆ ปลูกจนกว่าจะตาย”

กฤษฎาวัลย์ หรือ อ้อ ลูกสาวของดาบวิชัย บอกถึงข้อความที่บิดาบันทึกฝากไว้ในช่วงท้ายของชีวิต ก่อนจากไปอย่างสงบ ในวัย 77 ปี ว่า

“พ่อให้บอกทุกคนว่า อย่าเซ่า ชีวิตมีอิหยังให้เฮ็ดอีกหลาย”

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image