เปิดเบื้องหลังทีมสืบ ย้อนไทม์ไลน์ คดีน้องชมพู่ มหากาพย์ 3 ปีครึ่ง ลุงพล พิรุธเพียบ

ย้อนมหากาพย์ 3 ปีครึ่ง ก่อนศาลตัดสิน ลุงพล ฆ่า ‘น้องชมพู่’ ไทม์ไลน์-หลักฐาน มัดตัว

ด้วยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ได้หายตัวไปจากบริเวณหน้าบ้านของ นางสาวจุไรภรณ์ สุขพันธุ์ หรือน้าต่าย ซึ่งเป็นบ้านที่ติดกับบ้านของน้องชมพู่ นางสาวสาวิตรี วงศ์ศรีชา มารดา ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กกตูม จ.มุกดาหาร พร้อมได้ระดมกำลังช่วยกันค้นหา จนกระทั่งต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 19.00 น. จึงได้พบศพน้องชมพู่ ในสภาพนอนเปลือยอยู่บนภูเหล็กไฟ ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีสะเทือนขวัญและเป็นที่สนใจของประชาชนทั้งประเทศ

ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ในคดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน
โดยได้มีการสอบสวนปากคำ พยานบุคคล และพยานผู้เกี่ยวข้อง โดยได้มีการสัมภาษณ์บุคคล จำนวน 384 ปาก และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวน จำนวน 120 ปาก รวมถึงได้สอบปากคำพยานผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ และพยานผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไว้แล้วจำนวน 31 ปาก ได้รวบรวมพยานหลักฐาน เป็นพยานวัตถุ จากสถานที่เกิดเหตุ จุดที่น้องชมพู่ ถูกนำตัวไป ตลอดจนพยานวัตถุ ที่จุดพบศพบนภูเหล็กไฟ รวมจำนวน 113 ชิ้น และพยานวัตถุจากกลุ่มบุคคลผู้ต้องสงสัยหรือผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 154 ตัวอย่างโดยดำเนินการตรวจเปรียบเทียบกับพยานวัตถุ ที่จัดเก็บได้จากสถานที่เกิดเหตุและจุดพบศพ

ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารและพยานส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากข้อมูลโซเชียลมีเดีย ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ข้อมูลการให้สัมภาษณ์ ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต้องสงสัย และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งช่วงก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุไว้แล้ว โดยได้มีการนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินผลไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลจากการรวบรวมพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า

Advertisement

1.การหายตัวไปนั้นอยู่ใน ช่วงเวลาระหว่าง 09.11 น. ถึง 09.49 น. สรุปคือ มีช่วงเวลาที่คนร้ายเข้าถึงตัวและนำตัวน้องชมพู่ไปจากจุดเกิดเหตุหน้าบ้านนางจุไรภรณ์ หรือน้าต่าย เพียง 38 นาที เท่านั้น
2.หลังจากการหายตัวไปชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ออกค้นหาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลา 19.00 น. ได้พบน้องชมพู่เป็นศพอยู่บนภูเหล็กไฟ

3.จากการชันสูตรพลิกศพของแพทย์นิติเวชได้สันนิษฐานสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่า “เป็นไปได้ที่จะเสียชีวิตจากการขาดน้ำขาดอาหาร” ได้ตรวจพบบาดแผลถลอก และร่องรอยขีดข่วนกระจายบริเวณแผ่นหลัง ก้น แขนและขาสองข้างเป็นหย่อมๆ ซึ่งเกิดจากผิวหนัง เสียดสีกับวัตถุที่มีผิวไม่เรียบ วัตถุที่มีความแหลมเช่นกิ่งไม้หรือใบหญ้าแข็งๆ เป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นก่อนตาย ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่พบบาดแผลหรือการบาดเจ็บตามร่างกายที่จะทำให้ถึงแก่ความตายได้

ตรวจพบของเหลวสีน้ำตาลในกระเพาะอาหารประมาณ 10 มิลลิลิตร เกิดจากการเน่าตามร่างกายตามปกติ ไม่มีเศษอาหารหลงเหลืออยู่ ตรวจพบลักษณะของการขาดน้ำของร่างกายคือ ตาแห้ง เบ้าตาหวำลึก ตรวจพบบริเวณปลายนิ้วหัวแม่เท้า นิ้วชี้และนิ้วกลางด้านฝ่าเท้าขวา มีรอยผิวหนังฉีกขาดตื้น เชื่อว่าผู้ตายมีการเดินด้วยการสวมรองเท้าในพื้นที่มีลักษณะค่อนข้างแข็งเป็นเวลานานพอสมควร ไม่น้อยกว่า 6 ชม. การเน่าที่บริเวณปากของศพซึ่งพบเป็นแผลดำเน่า มากกว่าบริเวณอื่น หากบริเวณปากได้รับบาดเจ็บหรือมีแผลมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะส่งผลให้มีการเน่าบริเวณปากมากกว่าส่วนอื่นของร่างกาย

Advertisement

4.ส่วนสภาพศพของน้องชมพู่ คนร้ายมีการเปลี่ยนแปลงสภาพศพและสิ่งแวดล้อมของสถานที่พบศพ โดยมีการถอดเสื้อผ้า จับถ่างขาให้มีลักษณะเหมือนถูกกระทำชำเรา และคนร้ายมีการใช้มีดหรือของมีคมด้านเดียว สับฟัน เถือ ตัด ไปที่บริเวณเส้นผมของศพน้องชมพู่แล้วนำติดตัวไป

5.ส่วนเวลาการเสียชีวิตนั้นแพทย์ผู้ชันสูตรและผู้เชี่ยวชาญยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เสียชีวิต อยู่ในห้วงเวลาระหว่าง วันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 14.30 น. ถึงวันที่ 13 พฤษคม 2563 เวลาประมาณ 14.30 น.

และเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้แถลงสรุปผลว่า น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพได้ด้วยตนเอง แต่มีคนร้ายพาไปด้วยเหตุผล 8 ประการคือ

1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถ โดยข้อเท็จจริงตัวน้องชมพู่ อายุ 3 ปี 2 เดือน สูง 55 ซม. น้ำหนัก 11 กิโลกรัม ไม่กล้าขึ้นบันไดบ้านซึ่งมีความชัน 45 องศา เตียงกับแคร่หน้าบ้าน ก็ไม่สามารถปีนขึ้นได้
2.พลังงานไม่เพียงพอ เนื่องจากอาหารที่น้องชมพู่รับประทานเป็นมื้อสุดท้ายไม่สามารถให้พลังงานเพียงพอให้เดินไปถึงจึงพบศพได้
3.ประสบการณ์ชาวบ้าน ได้ยืนยันว่าหากเด็กหลงทางจะสามารถไปถึงได้เพียงชั้น ที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น
4.กรณีศึกษาจากการหายตัวไปของชาวบ้านกกตูมซึ่งระยะทางไกลกว่าน้องชมพู่ ยังสามารถหาพบภายใน 1 คืน
5.ผู้ชำนาญการยืนยัน แพทย์นิติเวชผู้ทำการผ่าชันสูตรซึ่งเดินจำลองเส้นทางแล้วยืนยันว่าไม่น่าจะสามารถไปถึงจุดพบศพได้และกุมารแพทย์ยืนยันว่าพัฒนาการของน้องชมพู่ไม่สามารถเดินไปถึงจุดพบศพเองได้
6.สภาพศพ ตอนที่พบศพน้องชมพู่ สภาพเปลือยกาย ซึ่งน้องชมพู่ยังสวมและถอดเสื้อด้วยตนเองไม่ได้
7.พยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานพบเส้นผมของน้องชมพู่ถูกตัดด้วยของมีคนด้านเดียว น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น
8.นิสัยส่วนตัว น้องชมพู่ กลัวป่าที่ทึบ ไม่กล้าเข้าในสวนยางพารา เคยเล่นแถวไร่มันสำปะหลัง เท่านั้น

และในวันนี้การรวบรวมพยานหลักฐานได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งได้สรุปได้ว่า

1.การกระทำของคนร้ายในคดีนี้ มีการพาเหยื่อไปทิ้งที่ไกลๆ เพื่อเป็นการอำพรางคดี ซึ่งเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่เป็นคนใกล้ชิดกับเหยื่อ หากปล่อยให้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถชี้ยืนยันตัวเองว่าเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวได้ จึงจำเป็นต้องมีการอำพรางคดีเพื่อให้ความผิดพ้นตัว

2.จากช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปจากบริเวณจุดเกิดเหตุ พี่สาวของน้องชมพู่ก็อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 10 เมตร แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องของน้องชมพู่เลย ทั้งที่อุปนิสัยของน้องชมพู่จะเป็นคนหวงตัว หากไม่ใช่บุคคลใกล้ชิดจะร้องเสียงดังทันที
3.อีกทั้งบริเวณจุดพบศพ บนภูเหล็กไฟ ยังพบรองเท้า รถแม็คโค ของเล่น ตกอยู่ จึงยืนยันได้ว่าน้องชมพู่เต็มใจเดินไปกับคนร้าย มิฉะนั้นแล้ว ของเล่นหรือรองเท้าจะไม่ติดตัวน้องชมพู่ไปถึงจุดพบศพอย่างแน่นอน

จากทั้ง 3 ประเด็นนี้ยืนยันได้ว่า คนร้ายจะต้องเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดน้องชมพู่และเป็นคนที่น้องไว้ใจ ซึ่งจากการสอบปากคำ คนในพื้นที่ไปทั้งหมด 280 คน โดยละเอียด ได้ตรวจสอบพบว่ามี 14 คน ที่น้องชมพู่ไว้ใจและสามารถพาไปไหนได้

โดยจากการสืบสวนสอบเพื่อตรวจสอบว่าช่วงเวลา 38 นาที มีบุคคลใดที่สามารถเข้ามาถึงจุดที่น้องชมพู่หายตัวไปได้นั้น ซึ่งจากการตรวจสอบเส้นทางที่สามารถเข้ามาถึงบริเวณหน้าบ้านของ นางจุไรภรณ์ เลขที่ 77 หมู่ที่ 2 หมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร โดยเป็นจุดที่เด็กหญิงกัลยา หรือสะดิ้ง เห็นน้องชมพู่เป็นครั้งสุดท้าย มีจำนวน  5 เส้นทางด้วยกัน แต่ละเส้นทางในช่วงเวลาที่เกิดเหตุพบข้อมูลดังนี้

เส้นทางที่ 1 มีพยานกลุ่มเด็กที่ขึงเชือก ไม่มีผู้ใดผ่านเข้ามาที่จุดเกิดเหตุ
เส้นทางที่ 2 มีพยาน ซึ่งอยู่ที่บ้านพัก ยืนยันว่าไม่มีผู้ใดผ่านเข้ามาในซอยแต่อย่างใด
เส้นทางที่ 3 มีพยาน ซึ่งอยู่ที่บ้านพัก ยืนยันว่าไม่มีผู้ใดผ่านเข้ามาในซอยแต่อย่างใด
เส้นทางที่ 4 เส้นทางลงมาจากภูเหล็กไฟ มีพยาน ซึ่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ยืนยันว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาเช่นกัน
เส้นทางที่ 5 เส้นทางเดินผ่านสวนยางท้ายหมู่บ้าน มีพยานพบเห็นนาย ไชย์พล วิภา หรือลุงพล  อยู่บริเวณเส้นทางระหว่างบ้านของ นายไชย์พล ผ่านสวนยางพาราท้ายหมู่บ้านไปยังทิศทางบ้านของน้องชมพู่ ซึ่งเป็นจุดใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุ

ดังนั้นในช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายตัวไปมีเพียง นายไชย์พลปรากฏตัวในเส้นทางดังกล่าวเพียงคนเดียว ซึ่งเมื่อสามารถจำกัดบุคคลที่สามารถอุ้ม หรือจูงมือ หรือนำพาน้องชมพู่ ไปด้วยความเต็มใจได้ทั้งสิ้น 14 คน

โดยแบ่งเป็นบุคคลในเครือญาติ 12 คน และเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งมีความสนิทสนมกับครอบครัวมารดาน้องชมพู่ 2 คน ซึ่งบุคคลที่กล่าวมาทุกคนสามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ได้โดยมีพยานหลักฐานประกอบ เหลือเพียงแต่นายไชย์พลที่ไม่สามารถยืนยันถิ่นที่อยู่ของตนเองได้ชัดเจนในห้วงเวลาประมาณ 09.19-10.07 น. ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ทับซ้อนกับห้วงเวลาเกิดเหตุที่น้องชมพู่หายตัวไป และทับซ้อนกับห้วงเวลาที่พยานพบเห็นนายไชย์พลในเส้นทางเดินผ่านสวนยางท้ายหมู่บ้านไปยังทิศทางบ้านของน้องชมพู่ เช่นกัน

โดยจากการสอบสวน ทำให้ทราบว่าบุคคลแรกที่รับรู้การหายตัวไปของน้องชมพู่ นอกจาก ด.ญ.กัลยา หรือสะดิ้ง พี่สาวที่เดินตามหาน้องชมพู่ ร่วมกับพยานอีก 1 ปาก แล้วก็คือ นางสมพร หรือป้าแต๋น วงศ์ศรีชา

เมื่อ ด.ญ.กัลยา หรือสะดิ้ง เดินมาหาและแจ้งข่าวว่าน้องชมพู่หายตัวไป ในช่วงเวลา 10.02 น. นางสมพรได้ใช้โทรศัพท์ โทรออกไปหานางสาวิตรี มารดาของน้องชมพู่ ทันที โดย ด.ญ.กัลยา หรือสะดิ้ง และพยานอีก 1 ปาก ยืนยันชัดเจนว่าไม่ได้พบหรือบอกข่าวน้องชมพู่หายไปกับผู้ใดหรือนายไชย์พล มาก่อนแต่อย่างใด

แต่ปรากฏว่า หลังจากเหตุการณ์หายตัวไปของน้องชมพู่ไม่นาน ได้มีพยานบนวัดถ้ำภูผาแอก ยืนยันว่า นายไชย์พล หรือลุงพล ในช่วงเวลาประมาณ 10.07 น. ที่มารับพระสุรัตย์ ถิรวชิโร เพื่อไปส่งที่พักสงฆ์ป่าช้าเก่าบ้านภู ต.บ้านเป้า อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร นายไชย์พลได้พูดเรื่องการหายตัวไปของน้องชมพู่ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดแจ้งเรื่องน้องชมพู่หายตัวไปกับลุงพลเลย แสดงว่านายไชย์พลต้องมีส่วนในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หายตัวไปของน้องชมพู่ จึงทราบเรื่องดังกล่าวได้

ซึ่งต่อมานายไชย์พลได้ให้การต่อ จนท.ตร.ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2563 ว่าทราบเรื่องน้องชมพู่ หายจากการรับสายโทรศัพท์จากภรรยานางสมพร ช่วงก่อนถึงวัดถ้ำภูผาแอก แต่ข้อเท็จจริง นายไชย์พลไม่มีโทรศัพท์ติดตัวมาในวันเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งขัดแย้งกับคำให้การโดยสิ้นเชิง

โดยจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของนายไชย์พลหลังจากที่นายไชย์พลไปรับพระสุรัตย์จากวัดแล้ว และไปรับนางสมพร หรือป้าแต๋น กับพยานอีกสองคน ขึ้นรถไปส่งพระสุรัตย์ด้วยกันนั้น ได้ขับขี่รถยนต์ผ่านซุ้มประตูวัดอีกครั้ง ได้จอดรถยนต์ เปิดกระจกรถยนต์ และชักชวนพยานอีกสามคนซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันให้ไปร่วมส่งพระด้วย ซึ่ง โดยปกตินายไชย์พลไม่เคยชักชวนออกไปทำธุระอะไรในลักษณะนี้มาก่อน

และในขณะนั้นมีคนนั่งอยู่ในรถเต็มคันรถ จึงไม่มีความจำเป็นต้องชักชวนพยานทั้งสามคน พฤติกรรมดังกล่าว เป็นการสร้างพยานบริสุทธิ์ให้รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ของตน

นอกจากนี้นายไชย์พลเมื่อไปถึงบริเวณสามแยกหนองสูง มีด่านตรวจโควิด ทุกคนได้ลงไปตรวจวัดอุณหภูมิ นายไชย์พลได้ลงไปสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเส้นทางที่จะไปบ้านภู ทั้งที่ตนเองรู้เส้นทางดังกล่าวอยู่แล้ว อันเป็นการพยายามปรากฏกายกับกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นการยืนยันถิ่นที่อยู่ของตนเอง

โดยนายไชย์พลได้ให้ความสำคัญกับการไปส่งพระสุรัตย์ ไม่กระตือรือร้นที่จะออกติดตามหาตัวน้องชมพู่ ทั้งที่อ้างว่าสนิทสนมรักใคร่เหมือนลูกหลาน และในระหว่างที่ไปส่งพระสุรัตย์ และเดินทางกลับนั้น ก็ไม่เร่งรีบแต่อย่างใด ได้มีการใช้โทรศัพท์มาสอบถามสามีของนางจุไรภรณ์ว่าพบน้องชมพู่แล้วหรือไม่

ในลักษณะไม่นำพา โดยมั่นใจว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว อย่างไรชาวบ้านจะต้องหาน้องชมพู่เจอ ในช่วงระหว่างที่ตนเองกำลังเดินทางอยู่ ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุแต่อย่างใด โดยระหว่างเดินทางกลับจากไปส่งพระนั้น นายไชย์พลยังได้จอดรถยนต์ซื้อเงาะและซื้อกับข้าวที่ตลาดอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ในลักษณะที่ไม่เร่งรีบอีกด้วย

โดยผลสรุปจากการให้ผู้เชี่ยวชาญผู้คุมสุนัขดมกลิ่น สุนัข ได้ต้นกลิ่นของน้องชมพู่ จุดที่ 1 ห่างจากบ้านพัก 754 ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 นาที และสุนัขได้ต้นกลิ่นน้องชมพู่ จุดที่ 2 ห่างจากจุดที่ 1 ประมาณ 419 ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.06 นาที

โดยในการจำลองเหตุการณ์เดินหาของชาวบ้าน พบว่ายังไม่มีชาวบ้านกลุ่มใดได้เดินผ่านมายังบริเวณจุดที่ 1 และ 2 แต่อย่างใด แสดงว่า หลังจากน้องชมพู่หายตัวไป เชื่อว่าน้องชมพู่พยายามดิ้นรนที่จะหาทางกลับบ้าน แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ มีป่าไม้ บดบังเส้นทาง จึงเดินหลงทาง ประกอบกับพื้นดินบริเวณนั้น พื้นดินแข็ง มีหิน มีหญ้าเพ็คที่ใบหญ้าแข็งและแหลมคม แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ ยืนยันเข้ากันได้กับบาดแผลที่เกิดขึ้นบริเวณขา และหลังของน้องชมพู่

จึงเชื่อได้ว่า ช่วงแรกน้องชมพู่ถูกนำมาทิ้งอยู่บริเวณดังกล่าว แต่ชาวบ้านยังค้นหาไม่พบ ตัวคนร้ายจึงได้ย้อนกลับมาพบว่า น้องชมพู่ยังไม่เสียชีวิต จึงนำไปทิ้งไว้อีกครั้งบนภูเหล็กไฟ จนกระทั่งน้องชมพู่ขาดน้ำและขาดอาหารจนเสียชีวิต

ผลจากการสอบสวนมีพยานยืนยันชัดเจนว่า ในเวลาประมาณ 16.00 น.ได้พบกับนายไชย์พลเดินลงมาจากภูเหล็กไฟเพียงลำพัง บริเวณร่องน้ำใกล้บ้านนายมานพ พลสว่าง ห่างจากบ้านนายมานพ ประมาณ 913 ม. พยานได้ทักทายตามปกติ แต่นายไชย์พลไม่ยอมพูดด้วยกลับเดินมุ่งหน้ากลับบ้านพักตนเอง ซึ่งพยานได้มีความสงสัยในพฤติการณ์ดังกล่าว

โดยสอดคล้องกับการจำลองเหตุการณ์ ช่วงในเวลาประมาณ 14.38 น. นายไชย์พลได้กลับมาที่หมู่บ้านกกกอก หลังจากไปส่งพระสุรัตย์แล้ว นายไชย์พลได้หายตัวไปเพียงคนเดียว ไม่ทราบถิ่นที่อยู่ และจากการสอบปากคำชาวบ้านที่ออกค้นหาพบว่าไม่มีใคร กลุ่มใด ที่พบตัวนายไชย์พลหรือลุงพล ออกร่วมเดินค้นหาด้วยเลยในเวลานั้นเลย จนกระทั่งพยานได้พบเห็นในช่วงเวลา 16.00 น. ดังกล่าว
ซึ่งจุดที่ 2 ที่สุนัขได้ต้นกลิ่นน้องชมพู่ ห่างกับจุดพบศพบนภูเหล็กไฟ 986 ม. จำลองแล้วใช้เวลาเดินทาง 20 นาที 11 วินาที

จากจุดพบศพน้องชมพู่ ถึงจุดที่พยาน พบกับนายไชย์พล 1.2 กม. จำลองแล้วใช้เวลาเดินทาง 27 นาที 31 วินาที  จากจุดที่นายไชย์พลพบพยาน ถึงจุดบ้านนายมานพ 913 ม. จำลองแล้วใช้เวลาเดินทาง 11 นาที 42 วินาที ซึ่งเข้ากันได้กับช่วงเวลาที่นายไชย์พลหายตัวไป 1 ชั่วโมง 22 นาที

ซึ่งหลังจากนั้น นายไชย์พลได้ขับขี่รถยนต์กระบะของตนเองไปที่บ้านมะนาว เพื่อไปตามหานายภานุเดช หรือกิ้ง วงศ์ศรีชา และต่อมาได้เดินทางกลับมาที่บ้านกกกอก ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด ที่หมู่บ้านกกตูม ขาไปเวลา 16:07:17 น. ขากลับเวลา 16:50:02 น. หลังจากนั้นได้มารับประทานอาหารที่หน้าบ้านของนางสาวนลิน และช่วงเวลาประมาณ 18.00-22.00 น. นายไชย์พลได้หายไปอีกครั้ง โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าตนเองทำอะไรอยู่กับผู้ใด นอกจากนายไชย์พลจะหายตัวไปในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 แล้ว

วันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เวลาประมาณ 21.00 น. ถึงรุ่งเช้า และวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 เวลากลางคืน ถึงรุ่งเช้า นายไชย์พลหายตัวไปไม่สามารถแสดงถิ่นที่อยู่ได้ โดยนายไชย์พลอ้างว่า หลังจากลงจากเขาได้มานั่งสนทนากับชาวบ้านในพื้นที่ที่มาช่วยตามหาอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านน้องชมพู่ถึงเวลาเช้า แต่นางสาวิตรี เจ้าของบ้านยืนยันว่าในวันเวลาดังกล่าวไม่มีผู้ใดมานอนที่บ้านของตน โดยชาวบ้านที่มาช่วยค้นหาต่างแยกย้ายกันกลับบ้านพักของตน

ซึ่งช่วงเวลาที่นายไชย์พลหายไป ทั้งช่วงวันที่ 11 พ.ค.2563 ระหว่างเวลา 14.38-16.00 น. และวันที่ 12 พ.ค.2563 เวลาประมาณ 21.00 น. ถึงรุ่งเช้า และวันที่ 13 พ.ค.2563 เวลากลางคืน ถึงรุ่งเช้า เป็นช่วงทับซ้อนของช่วงเวลาคนร้าย ที่ได้นำตัวน้องชมพู่ ขึ้นไปทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟชั้นที่ 6 แล้วกลับลงมา และเป็นช่วงทับซ้อนของช่วงเวลาที่คนร้ายได้มีการย้อนกลับขึ้นไปอีกครั้ง และเมื่อพบว่าน้องชมพู่ได้เสียชีวิตหลังจากถูกทิ้งไว้แล้ว

จึงได้จัดการกับสภาพศพและวัตถุพยานเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นการสืบสวนและปกปิดร่องรอยพยานหลักฐานบางอย่างที่ตนอาจทิ้งไว้ และได้มีการตัดเส้นผมของน้องชมพู่ไป ตามความเชื่อด้านไสยศาสตร์ เป็นไปตามความเห็นของ ดร.สุรจิตต์ จันทรสาขา ที่ยืนยันว่าไสยศาสตร์ความเชื่อด้านการสะกดวิญญาณมีอยู่จริง และมีหลายวิธีทั้งการสะกดจิต สะกดวิญญาณ โดยการเอาชิ้นส่วนของศพ ได้แก่ เส้นผม กะโหลกหน้าผาก หรืออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด ปั้นเป็นหุ่นเอาสายสิญจน์พันลงอาคมเพื่อสะกดวิญญาณไว้ไม่ให้มารบกวน หรือต้องการควบคุมวิญญาณของผู้ตายให้เป็นบริวาร ส่วนการตัดผมของศพออกไปถือเป็นการสะกดวิญญาณวิธีหนึ่งและเป็นไสยศาสตร์ด้านดำ (ด้านไม่ดี)

นอกจากพยานหลักฐานแล้ว ยังปรากฏข้อพิรุธอีกหลายประเด็นของนายไชย์พล หรือลุงพล เช่นเหตุการณ์ในวันที่ 14 พ.ค.63 เวลา 19.00 น. ขณะที่พบศพของน้องชมพู่”

ซึ่งเมื่อเรามาพิจารณาจากสภาพของศพของน้องชมพู่ ที่ถูกเปลื้องผ้าทั้งตัว แขนและขาอ้าแบะออก ลักษณะนี้ วิญญูชนทั่วไปจะต้องวิเคราะห์ถึงเรื่องทางเพศเป็นอันดับแรก แต่ลุงพลกลับสันนิษฐานการเสียชีวิตว่าเป็นการขาดน้ำขาดอาหาร ซึ่งต่อมาแพทย์ผู้ผ่าชันสูตรพลิกศพก็ได้สันนิษฐานตรงกันกับการสันนิษฐานของลุงพล ในวินาทีแรกที่พบศพอย่างน่าเหลือเชื่อ

และยังมีพยานหลักฐานยืนยันจุดอ่อนด้านอารมณ์ของลุงพล ซึ่งค่อนข้างมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดคือ กรณีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ที่มีการทำร้ายนักข่าวสำนักหนึ่ง ซึ่งในทางของจิตวิทยา เรียกลักษณะแบบนี้ว่า poor impulse control เป็นการควบคุมอารมณ์แย่มาก ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ฉะนั้นแล้วหากเป็นที่ลับตาผู้คน ย่อมต้องมีความรุนแรงมากกว่านี้

และเมื่อประกอบกับพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ได้มีการตรวจเส้นผม ด้วยเทคโนโลยีแสงซิงโครตรอน เพื่อตรวจหาธาตุในเส้นผม เพื่อใช้จำแนกบุคคล ผลการตรวจสอบพบเส้นผม นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น จำนวน 3 เส้น ตกอยู่บนภูเหล็กไฟ บริเวณจุดพบกางเกงของน้องชมพู่ ซึ่งห่างจากศพประมาณ 34.2 เมตร ซึ่งจากการสอบสวนแล้วนางสมพร หรือป้าแต๋น ไม่เคยขึ้นไปบนภูเหล็กไฟบริเวณจุดพบศพเลย และไม่ได้เข้าใกล้ตัวน้องชมพู่มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว  ดังนั้น เส้นผมดังกล่าวจะต้องติดมากับคนใกล้ชิดนางสมพร หรือป้าแต๋น เท่านั้น

และนอกจากเส้นผมของป้าแต๋นจำนวน 3 เส้นแล้ว ทางกองพิสูจน์หลักฐานได้ประสานกับผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ ในการตรวจสอบและพิสูจน์เปรียบเทียบวัตถุพยานของกลางที่ กองพิสูจน์หลักฐาน จัดเก็บได้จากที่เกิดเหตุ จุดพบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟ โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เป็นที่ยอมรับในมาตรฐานสากล ถูกต้องตามหลักทฤษฎี และหลักวิชาการโดยเฉพาะเรื่องของเส้นผมของน้องชมพู่ ซึ่งถูกคนร้ายได้ใช้มีดหรือของมีคมด้านเดียว ตัด เถือ สับฟัน ลงบนพื้นดินมากกว่าหนึ่งครั้ง

ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานได้จัดเก็บเส้นผมได้จากที่เกิดเหตุ จุดพบศพน้องชมพู่ซึ่งได้มีการตรวจสอบพิสูจน์อย่างละเอียดทุกเส้น ทำให้มีการใช้เวลานานพอสมควร ในการตรวจเปรียบเทียบ กับวัตถุพยาน เส้นผม ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและสอบสวน ได้จัดเก็บจากบุคคลต้องสงสัย จากที่พักหรือในยานพาหนะของผู้ต้องสงสัย

ผลการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานได้แปลผล การตรวจเปรียบเทียบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เส้นผมเส้นหนึ่งที่พบอยู่ใกล้ศพน้องชมพู่ กับเส้นผมอีกเส้นหนึ่งที่พบในที่วางแก้วข้างคนขับในรถยนต์ของนายไชย์พล หรือลุงพล มีลักษณะตำหนิพิเศษเกิดขึ้น จากการถูกตัดด้วยวัตถุของแข็งมีคมด้านเดียว เช่นมีด โดยกองพิสูจน์หลักฐานได้ลงความเห็นว่า เส้นผมทั้งสองเส้นนี้ต้องอยู่ในลักษณะแนบชิดติดกัน และจะต้องถูกตัดพร้อมกัน ในคราวเดียวกัน โดยวัตถุของแข็งมีคมด้านเดียว ชนิดเดียวกันเท่านั้น ซึ่งเกิดจากการกระทำของบุคคลคนเดียวกัน

เมื่อเส้นผมหนึ่งเส้นของน้องชมพู่ ซึ่งถูกตัดแล้วตกอยู่ใกล้ศพน้องชมพู่ กับเส้นผมอีกหนึ่งเส้น ทางกองพิสูจน์หลักฐาน จัดเก็บได้ในจุดที่วางแก้วข้างคนขับในรถยนต์ของนายไชย์พล วิภา ดังนั้น นายไชย์พล วิภา ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับนำตัวน้องชมพู่ ไปทิ้งไว้บนภูเหล็กไฟ แล้วเสียชีวิตเพราะขาดน้ำและขาดอาหาร เมื่อน้องชมพู่เสียชีวิต แล้วได้มีการตัดเส้นผมน้องชมพู่ โดยใช้วัตถุของแข็งมีคมด้านเดียว ตามหลักความเชื่อทางไสยศาสตร์ จึงทำให้ปรากฏหลักฐานวัตถุพยานที่ประจักษ์ชัด

พนักงานสอบสวน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและได้ยื่นคำร้องขอหมายจับ นายไชย์พล วิภาหรือลุงพล ในความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดตามหลักการวิชาการและมาตรฐานสากลโดยยึดหลักการรวบรวมพยานหลักฐานตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ ในการยื่นคำร้องของออกหมายจับตัวนายไชย์พล หรือลุงพลนั้น เราไม่ได้มองแค่การจับกุมตัวคนร้าย แต่มองไปถึงชั้นการพิจารณาคดีของศาล นับตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เพราะฉะนั้นแล้วขอให้ประชาชนไทยมั่นใจว่า “ไม่ว่าท่านจะอยู่แห่งหนใดในประเทศไทย จะเป็นชนชั้นใดในสังคม ขอให้รับรู้ไว้ว่ากระบวนการยุติธรรมไทย จะอยู่เคียงข้างท่านและช่วยท่านเสมอ ในการอำนวยความยุติธรรมอย่างมีอย่างคุณธรรม ตามหลักมาตรฐานสากล ผู้กระทำผิดย่อมต้องได้รับการลงโทษ ไม่มีใครหนีพ้น กฎแห่งกรรม”

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลสั่งจำคุก ‘ลุงพล’ 20 ปี ผิด 2 ข้อหาคดีฆ่าน้องชมพู่ ยกฟ้องป้าแต๋น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image