สปสช.แจงยกเลิกสัญญา 9 รพ.เอกชน แต่สิทธิบัตรทองยังคงเดิม เจ็บป่วยไปรับบริการได้ต่อเนื่อง

สปสช.แจงยกเลิกสัญญา 9 รพ.เอกชน แต่สิทธิบัตรทองยังคงเดิม เจ็บป่วยไปรับบริการได้ต่อเนื่อง

วันที่ 3 ตุลาคม 2565 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงกรณี สปสช.ดำเนินการยกเลิกสัญญาบริการของโรงพยาบาล (รพ.) เอกชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 9 แห่ง เนื่องจากตรวจสอบพบว่ามีการเบิกจ่ายเงินค่าบริการสาธารณสุขไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ว่า ประการแรก ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สปสช.ยกเลิกสัญญากับ รพ.เอกชน แต่ไม่ได้ยกเลิกสิทธิการรักษาพยาบาลของประชาชน และยกเลิกสัญญากับ รพ.เอกชน 9 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯเท่านั้น แต่ยังมี รพ.เอกชนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอื่นๆ ที่เข้าร่วมในระบบ สปสช.หรือระบบบัตรทองอยู่ในประเภทปฐมภูมิ/ประจำ/รับส่งต่อทั่วไป

“ขณะนี้ทั่วประเทศมี 29 แห่ง แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 6 แห่ง และต่างจังหวัด 23 แห่ง และสาเหตุที่ต้องยกเลิกสัญญานั้น เนื่องจากโรงพยาบาลเหล่านี้สั่งเบิกค่าใช้จ่ายในการให้บริการไม่ถูกต้องตามกฎหมายจึงต้องยกเลิกสัญญาซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ได้เป็นการยกเลิกอย่างไม่มีเหตุผลหรือไม่มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด” นพ.จเด็จกล่าว

เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า ประการต่อมา จำนวนผู้ได้รับผลกระทบนั้น มีผู้ที่ลงทะเบียนหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำกับโรงพยาบาลทั้ง 9 แห่งนี้ มีประมาณ 2 แสนราย และผู้ที่มี รพ.เอกชนทั้ง 9 แห่ง เป็นหน่วยบริการรับส่งต่อประมาณ 6.9 แสนราย ไม่ใช่ 1 ล้านราย และเมื่อพิจารณารายละเอียดแล้วจะพบว่าผู้ที่ลงทะเบียนหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำกับโรงพยาบาลทั้ง 9 แห่ง จำนวน 2 แสนรายนั้น มีประมาณ 1.2 แสนราย เคยมารับบริการ โดยมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังประมาณ 2 หมื่นราย ไปรับบริการ และประมาณ 4,000 ราย ที่ไปรับบริการต่อเนื่อง

นพ.จเด็จกล่าวต่อไปว่า สปสช.ได้คำนึงถึงผลกระทบและการเข้าถึงบริการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ สปสช.ได้หารือกับ รพ.เอกชนทั้ง 9 แห่ง ขอความร่วมมือดูแลผู้ป่วยต่อในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อให้ผู้ที่มารับบริการเป็นประจำเหล่านี้ ยังสามารถไปรับบริการกับโรงพยาบาลต่อไปได้ เช่น กรณีเป็นเบาหวานแล้วต้องไปรับยา หรือการรักษาอื่นๆ อย่างน้อยสามารถรับบริการได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดย สปสช.จะตามไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินเองแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน สปสช.ยังได้จัดหาหน่วยบริการรองรับผู้ป่วยที่มีนัดหมายรักษาแล้ว โดยเป็นความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยบริการสังกัดอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยได้รับผลกระทบ

Advertisement

“พร้อมกันนี้ สปสช.จะค่อยๆ ชี้แจงทำความเข้าใจและให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบเลือกลงทะเบียนหน่วยบริการประจำแห่งใหม่ตามที่ตนสะดวกไปรับบริการ ซึ่งจากการหารือร่วมกันระหว่าง สปสช. กทม. กรมการแพทย์ และโรงพยาบาลสังกัดต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ นอกจากจะจัดหา รพ.รับส่งต่อให้ประชาชนแล้ว ยังจะมีการขยายเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิในกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนเลือกรับบริการได้ และจะเปิดให้ประชาชนเลือกหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำแห่งใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป” นพ.จเด็จกล่าว

อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า ในระหว่างนี้ สำหรับผู้ใช้สิทธิซึ่งยังไม่เคยมารับบริการรวมถึงที่ไปรับบริการเพียงครั้งเดียวนั้น สปสช.ให้สิทธิเป็น VIP กล่าวคือ สามารถไปรับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ในระบบ สปสช.

“2 ปีก่อน สปสช.ยกเลิกสัญญาคลินิกชุมชนอบอุ่นกว่าร้อยแห่ง แล้วบอกว่าเป็นสิทธิว่าง คนก็ตกใจว่าสิทธิว่างคือไม่มีสิทธิหรือไม่ จริงๆ แล้วตรงกันข้าม สิทธิว่างคือสิทธิ VIP ไปที่ไหนก็ได้ และวันนี้เราก็เปลี่ยนกติกาแล้ว ไม่ใช่ว่าประชาชนพอใจไปรับบริการตรงนั้นแล้วเราจะลงทะเบียนหน่วยบริการประจำตรงโน้นให้ แต่เราให้ประชาชนเป็นคนลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการประจำด้วยตัวเองผ่านทางไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso และแอพพลิเคชัน สปสช. หรือง่ายที่สุดโทรมาที่สายด่วน สปสช. 1330 เราเตรียมหน่วยบริการปฐมภูมิให้ลองไปรับบริการดู ถ้าตกลงใจที่ไหนค่อยลงทะเบียนที่นั่น ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งในกลุ่มนี้เชื่อว่าค่อยๆ ใช้เวลาระยะหนึ่งในการลงทะเบียน และจะเกิดผลกระทบไม่มากนัก” นพ.จเด็จกล่าว

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image