สธ.ปรับไกด์ไลน์ใช้ “ฟาวิพิราเวียร์” รักษา “ไข้หวัดใหญ่” จ่อชงเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ

สธ.ปรับไกด์ไลน์ใช้ “ฟาวิพิราเวียร์” รักษา “ไข้หวัดใหญ่” จ่อชงเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ

วันที่ 29 กันยายน 2566 นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงแนวทางการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ด้วยยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ว่า ยาทั้งสองชนิดสามารถนำมารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้

“โดยได้มีการประชุมผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิชาการของกรมการแพทย์ เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา มีการพิจารณาถึงแนวทางการรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยยาฟาวิพิราเวียร์ นอกเหนือจากยาโอเซลทามิเวียร์ ด้วย ซึ่งจะมีการเสนอเข้าสู่คณะกรรมการวิชาการของ สธ. ก่อนออกเป็นประกาศแนวทางการรักษาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง จริงๆ แพทย์ทราบอยู่แล้วว่า ยาฟาวิพิราเวียร์สามารถนำมารักษาไข้หวัดใหญ่ได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้มีการระบาดของโรคโควิด-19 จึงได้นำยาฟาวิพิราเวียร์มารักษาผู้ติดเชื้อ ทำให้เกิดความเข้าใจว่าคนละโรค แต่จริงๆ รักษาได้เหมือนยาโอเซลทามิเวียร์เช่นกัน” นพ.ธงชัยกล่าว

อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวว่า ที่ผ่านมา ยาโอเซลทามิเวียร์บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว เหลือแต่ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งก่อนหน้านี้นำมารักษาฟรีในผู้ป่วยโควิด-19 แต่เมื่อโรคโควิด-19 ไม่ใช่โรคติดต่ออันตรายแล้ว จากนี้จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อผลักดันเข้าสู่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติต่อไป

Advertisement

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย ว่า ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-วันที่ 16 กันยายน 2566 มีรายงานผู้ป่วย 185,216 ราย อัตราป่วย 279.90 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 4 ราย แบ่งเป็นใน จ.นครราชสีมา 2 ราย จ.สงขลา และ จ.ตาก จังหวัดละ 1 ราย อัตราป่วยตาย 0.002 สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1N1 และ A/H3N2 โดยสัปดาห์นี้มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

“ตัวเลขการระบาดจะใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนจะมีการระบาดของโรคโควิด-19  เพราะไทยเผชิญโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ช่วงนั้น เรามีมาตรการป้องกันต่างๆ สวมหน้ากากอนามัย ทำให้ได้ประโยชน์ในการป้องกันโรคทางเดินหายใจ แต่ด้วยปัจจุบันสถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย ทั่วโลกเดินทางกันมาก แต่หากพิจารณาตัวเลขการระบาดก่อนโควิด-19 กับปีนี้ ถือว่าการระบาดใกล้เคียงกับปีก่อนโควิด-19 ดังนั้น โรคไข้หวัดใหญ่แม้จะพบมาก แต่ไม่ถือว่ารุนแรงเกินจัดการ” นพ.โสภณกล่าว

ขณะที่ พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า อภ.ได้จัดส่งยาโอเซลทามิเวียร์ไปตามหน่วยงานที่ขอสำรอง (สต๊อก) ที่สั่งเข้ามาหมดแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ต้องผลิตเพิ่มอีก เนื่องจากความต้องการมีเพิ่มขึ้น ขณะนี้กำลังเร่งผลิตจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในการผลิตยาโอเซลทามิเวียร์ โดยมีวัตถุดิบประมาณ 2,800 กิโลกรัม สามารถผลิตออกเป็นยาโอเซลทามิเวียร์ ประมาณ 26 ล้านเม็ด ใช้ได้ประมาณ 2.6 ล้านคน โดยผลิต 3 ขนาด ทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ โดยเด็กเล็ก ขนาด 30 มิลลิกรัม เด็กโต ขนาด 45 มิลลิกรัม ผู้ใหญ่ ขนาด 75 มิลลิกรัม

Advertisement

“ยาโอเซลทามิเวียร์สำหรับเด็กเล็ก 30 มิลลิกรัม จะจัดส่งได้หมดในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ ส่วนขนาด 45 มิลลิกรัมจะส่งได้อย่างช้าวันที่ 9 ตุลาคม 2566 ขณะที่ยาสำหรับผู้ใหญ่ก็จะทยอยจัดส่งได้ไม่เกินเดือนตุลาคมนี้เช่นกัน ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์มีอยู่ 1.6 ล้านเม็ด รักษาได้ประมาณ 3 หมื่นกว่าราย และยังมีวัตถุดิบผลิตได้อีกประมาณ 8 แสนเม็ด ทั้งนี้ อภ.ได้ทำหนังสือเสนอให้คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักฯ พิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์เข้าสู่รายการในบัญชียาหลักแห่งชาติด้วย” พญ.มิ่งขวัญกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image