จากกรณีต้นศรีมหาโพธิ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงปลูก เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขาช่องกระจก ในเขตอภัยทานของวัดธรรมิการามวิหาร ตรงข้ามศาลาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2501 ถูกเจ้าอาวาสวัดธรรมิการามวิหารตัดโค่นถอนรากถอนโคน ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยทานโทษถึงสำนักพระราชวัง พร้อมตั้งกรรมการสอบหาข้อเท็จจริงเพื่อหาหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่เขาช่องกระจกภายใน 15 วัน นั้น
ล่าสุดมเมื่อวันที่ 12 กันยายน นายพัลลภ สิงหเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดินทางไปติดตามความคืบหน้าของการฟื้นฟูระบบรากของต้นตอพระศรีมหาโพธิ์ทรงปลูก ที่บริเวณศูนย์เรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ตามแนวพระราชดำริสถานีวนวัฒนวิจัยประจวบคีรีขันธ์ หน่วยงานสังกัดสำนักโครงการตามพระราชดำริและกิจการพิเศษ กรมป่าไม้ ถ.สวนสน – อ่าวน้อย เขตเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยนางชนิษฐา จันทโชติ หัวหน้าศูนย์เรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ตามแนวพระราชดำริจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการฟื้นฟูต้นตอของพระศรีมหาโพธิ์ทรงปลูกรายงานความคืบหน้า ล่าสุดการฟื้นฟูระบบรากมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง
นางชนิษฐา กล่าวว่า ตามแผนการอนุบาลในขณะนี้ได้ให้ฮอร์โมนเพื่อเร่งฟื้นฟูระบบรากให้ตอบสนองการเจริญเติบโต พร้อมกับควบคุมการให้น้ำที่เหมาะสม รวมทั้งการรักษาอุณหภูมิและความชื้น แต่การอนุบาลเพื่อฟื้นฟูระบบรากต้องอาศัยระยะเวลา จึงจะมีความชัดเจน ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้กำชับให้ดูแลใกล้ชิดอย่างเต็มที่ และรายงานให้ทราบทุกระยะ เนื่องจากประชาชนมีความห่วงใยมาก
นายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการครอบครองที่ดินบนเขาช่องกระจก กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการฯยังไม่สรุปเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ หลังจากพบว่าวัดธรรมิการามไม่ได้ยื่นขอใช้ประโยชน์ เนื่องจากยังไม่ครบกำหนด 15 วัน และการสอบสวนอาจจะขยายระยะเวลา เนื่องจากจะเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งตั้งปลัดจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดแรกแต่ไม่มีข้อสรุป เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทส.จ.) ทำหน้าหน้าที่กรรมการเพิ่มเพื่อนำสาระบบที่ดินทั้งหมดทำการตรวจสอบเทียบที่ดินของหน่วยงานรัฐและโฉนดของวัดธรรมิการาม
“เบื้องต้นเชื่อว่าที่ดินเขาช่องกระจกเป็นที่สาธารณะประโยชน์ในความดูแลของนายอำเภอเมือง ร่วมกับเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ ตามมาตรา 122 พระราชบัญญัติ( พรบ.) ลักษณะปกครองท้องที่ พศ. 2457 หลังจากสื่อมวลชนเสนอข้อมูลตรวจสอบจากใบ น.ส.5 หรือใบไต้สวนเมื่อปี 2535 ก่อนออกโฉนดที่ดินให้วัดธรรมิการามวรวิหาร แต่ปัจจุบันยังไม่มีการรังวัดสอบเขตพื้นที่เขาช่องกระจกเพื่อนำไปออกหนังสือสำคัญที่หลวง (นสล.)” นายพงษ์พันธ์ กล่าว
นายสุวิทย์ พุกกะเวส นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า หากได้รับคำสั่งจากจังหวัดให้ดำเนินการสอบรังวัดแนวเขตที่ดินเขาช่องกระจก เพื่อขึ้นทะเบียน นสล. ตามอำนาจหน้าที่ ก็พร้อมดำเนินการทันที แต่คาดว่าหนังสือสั่งการให้สอบแนวเขต นสล. อาจจะต้องรอให้มีการสรุปผลการสอบข้อเท็จจริงในระดับจังหวัด
นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่ปรากฏใน น.ส. 5 พบลายมือชื่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองประจวบฯทำหน้าที่แทนนายอำเภอเมือง เพื่อชี้แนวเขตที่ดินของวัด สมาคมฯจะรวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบันที่เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เนื่องจากไม่ได้สนใจทำหน้าที่ปกป้อง คุ้มครองป้องกันการบุกรุกที่สาธารณระโยชน์ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ทำให้ส่งผลบกระทบกับต้นไม้สำคัญที่เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของประชาชน นอกจากนั้นยังมีการประวิงเวลาทำให้ผลสอบสวนหาหน่วยงานรัฐที่ดูแลเขาช่องกระจกล่าช้า โดยไม่มีเหตุจำเป็น เนื่องจากข้อมูลเดิมไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด
นางรพีพรรณ อ๊อตวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สต.) จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า หากจังหวัดมีข้อสรุปว่าพื้นที่เขาช่องกระจกมีหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบ ก็จะต้องติดตามการใช้งบประมาณกว่า 70 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน เพื่อขอตรวจเอกสารว่าหน่วยงานที่ใช้งบเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่เขาช่องกระจกหรือมา หรือ มีหลักฐานการขออนุญาตจากหน่วยงานใด ยืนยันว่า สตง.จะทำตามหน้าที่ติดตามเนื่องนี้ให้มีความชัดเจน จากนั้นจะส่งเอกสารหลักฐานให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
