สกู๊ป เสวนาโต๊ะกลม ขยี้ปม‘โหวตนายกฯ’

คึกคัก เข้มข้น และร้อนแรงเกินบรรยาย สำหรับเสวนาโต๊ะกลม “ข้อเสนอประชาชนต่อการเลือกนายกรัฐมนตรี : ร่วมกำหนดวาระการเมืองที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” จัดโดยคณะกรรมการญาติพฤษภา 35 และเครือข่ายประชาสังคม ณ สถานที่สำคัญในย่านประวัติศาสตร์การเมืองไทย อย่างโรงแรมรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
ไม่ถึง 24 ชั่วโมง

เริ่มต้นด้วยนักการเมืองสาวที่เป็นข่าวดังจากวาทะ “คำด่าแถวบ้าน” ช่อ พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งกล่าวถึงการอภิอปรายคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีที่มองว่านี่คือ “หวยล็อก”

“จะอภิปรายยังไง ผลสุดท้ายก็เหมือนหวยล็อก เพราะคณิตศาสตร์การเมืองบิดเบี้ยวมาแต่ต้น ตั้งแต่เลขตุน 250 ส.ว. การแต่งตั้งโดยกลวิธีซับซ้อน พูดง่ายๆ คือ คสช.เป็นคนจิ้ม ความกังวลคือห่วงเกิดการเมืองบนท้องถนน ซึ่งแม้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประชาธิปไตย แต่ประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมาทำให้เห็นว่า สุดท้ายการต่อสู้ในลักษณะดังกล่าวไม่ได้นำมาซึ่งอะไร เว้นแต่ประชาชนตายฟรี

“อนาคตใหม่ก้าวเข้ามาทำงานในช่วงที่การเมืองอันตรายและมืดมน แต่มีความหวังจะให้คนไทยกลับมาเชื่อว่ารัฐสภาแก้ปัญหาได้ การเมืองจะปรองดองได้ผ่านรัฐสภา ปัญหาคือ เรากำลังเห็นว่าประเทศไทยถูกทำให้เดินถอยหลังสู่ภาวะที่ประชาชนเห็นว่า รัฐสภาแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมีความพยายามใช้รัฐสภาในการสืบทอดอำนาจเผด็จการ สิ่งที่กังวลคือกงล้อประวัติศาสตร์กำลังหมุนกลับ” พรรณิการ์กล่าวเชื่อมโยงถึงเหตุการณ์พฤษภาเลือด รวมถึงวีรชนคนเดือนตุลาที่เจ้าตัวมองว่า ไม่เคยได้รับการเยียวยาเท่าที่ควรจะเป็น

Advertisement

 

จากนั้นถึงคิว พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งวิเคราะห์ปมเลือกนายกฯในครั้งนี้ว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้” เพราะเนติบริกรมีส่วนในการออกแบบเขียนรัฐธรรมนูญ

Advertisement

“เชื่อว่าตัวหนังสือทุกตัวเขาบรรจงสอดแทรก สอดใส่อย่างดี มีค่ายกลต่างๆ มากมาย ตอนนี้เผยสิ่งที่หมกเม็ดออกมาทีละตัว รัฐธรรมนูญของไทยที่ใช้ในขณะนี้คิดว่าไม่มีหลักอะไรแล้ว สิ่งที่เขาอ้างอาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะเขามีหลักประกัน ถ้ามีปัญหาก็ต้องไปองค์กรอิสระซึ่งก็สั่งได้ กลายเป็นองค์กรที่จะรับรองความชอบธรรม ถ้าเราเอาบรรทัดฐานของหลักประชาธิปไตยสากลมาเทียบ สามารถพูดได้ว่าของเราไม่มีหลักอะไรทั้งสิ้น อาจเรียกได้ว่าเป็นหลักอำนาจล้วนๆ โดยแท้ ถ้าใครมีอำนาจบอกว่าสิ่งนี้ใช่ ทำได้ หรือไม่ได้ ก็จบ
แค่นั้นเอง” อดีตคณบดีนิติศาสตร์กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ซึ่งวันนี้หนีบรัฐธรรมนูญมาเปิดบนโต๊ะ กล่าวว่า เวลามองอะไรจะมองว่าอดีตเป็นบทเรียน อดีตที่เป็นบาดแผลไม่ควรเกิดขึ้นอีก อดีตที่เป็นบาดแผลกับคนอื่นก็ไม่ควรมาเกิดกับเรา ถามว่าปัจจุบันคืออะไร ปัจจุบันคือความรับผิดชอบ ส่วนอนาคตคือผลจากการรับผิดชอบ สิ่งที่คาดหวังคือ ต้องการความเสมอภาคในการใช้กฎหมาย รวมถึงความเป็นธรรมทางกฎหมาย แต่ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า เราทำไม่ได้

“วันนี้เราต้องเรียกร้องหลักนิติธรรมซึ่งคนทุกคนอยู่ใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และ 7 พรรคการเมืองต้องมั่นคง เราต้องอยู่กับประชาชน ส่วนประเด็นเลือกนายกรัฐมนตรี ถ้าอ่านกฎหมายเป็น ส.ว.ไม่มีสิทธิเลือกนายกฯ เพราะมีผลประโยชน์ขัดกันในรัฐธรรมนูญและจริยธรรม ซึ่ง ส.ว.จะโหวตใครก็ได้ ยกเว้นคนที่ตั้ง ส.ว.ขึ้นมา ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ส.ส. และ ส.ว.เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ตัวแทนใคร หลายปีที่ผ่านมา เราเรียกร้องรัฐธรรมนูญ วันนี้ต้องเรียกร้องหลักนิติธรรม ใครทรยศ ประชาชน จะมีที่ยืนแค่ในสภา แต่พอออกมาประชาชนไม่ยอมรับ”

มาถึง พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งท็อปฟอร์มบนเวทีด้วยการถอดบทเรียน 5 ปี รัฐบาลบิ๊กตู่ด้วยวาทะเปรียบเปรยอย่างเห็นภาพ

“ประชาชนตกอยู่ในความลำบาก แต่รัฐบาลเพิ่งมาช่วย เหมือนที่ผ่านมาพาคนไปอยู่ทะเลทราย พอใกล้เลือกตั้งค่อยเอาน้ำมาหยอด ให้คนอยากอยู่ทะเลทราย แต่คนคิดได้ว่า คุณพาคนมาอยู่ทะเลทรายแต่แรก” เจอประโยคนี้เข้าไป เสียงฮาก็ลั่นห้อง

พิชัยบอกด้วยว่า วันนี้ไม่ได้มาด่านายกฯ แต่ต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เหมาะเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เรก ด้วยวิธีคิด กรอบความคิด และไม่สามารถเป็นนายกฯต่อได้ เช่น บอกให้ไทยผลิตยาสีฟัน ขัน รองเท้าแตะ ส่งขายทั่วโลกเพราะทหารใช้ บอกให้เกษตรกรปลูกหมามุ่ย เวลาน้ำท่วมบอกให้เลี้ยงปลา ให้ท่องจินดามณี แบบนี้มันไม่ใช่!

“ประชาชนปฏิเสธคุณ แต่คุณยังดื้อรั้น 5 ปีมานี้ หนักหนามากสำหรับประเทศ เราตกต่ำมาโดยตลอด ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกดีหรือไม่ดี ไทยก็แย่ ปีนี้จะเจ๊งแหลกลาญ ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์สืบทอดอำนาจต่อ โอกาสที่ไทยจะโตเท่าเพื่อนบ้านนั้นไม่มีทาง คิดว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯอีก ประเทศจะฟื้นไหม?”

ตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะยอมรับว่า “ที่พูดนี่ก็กลัวนะ ไม่ใช่ไม่กลัว แต่ต้องพูด ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงประเทศได้ ไม่ใช่มีแต่ไดโนเสาร์ ประเทศในอาเซียนมีบริษัทเทคโนโลยีจดทะเบียนเป็นแสนๆ ล้าน แต่ไทยไม่มี พ.ร.บ.คอมพ์ พ.ร.บ.ไซเบอร์ ทำให้คนคิดทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเราจะเป็นพม่าภาค 2 แล้วจะมาเสียใจกันทีหลัง เวลาผ่านไป 30-40 ปี จะตอบลูกหลานอย่างไร ขอเตือนว่า เศรษฐกิจเราโตแค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ ต่อไปเพื่อนบ้านโตแซง ยังจะคิดว่าเรามีเอกราช แล้วเดินต่อไป อยากเรียกร้องว่าประเทศนี้ถึงเวลาเปลี่ยน ไม่งั้นเราจะล้าหลัง ตกยุค อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่จะมาปรับปรุงประเทศ”

ออกปากกว่ากลัวไม่ทันขาดคำ พิชัย เปิดประเด็นซ้ำ ด้วยการเผยข้อมูลว่า รัฐบาลบังคับบริษัทต่างชาติบริจาคเงินเข้ามูลนิธิแล้วไซฟ่อนเงินเอาไปให้พรรคการเมือง

“ผมขอยืนยันว่า มีคนจากสถานทูตมาแจ้งให้ทราบว่าบริษัทจากต่างประเทศถูกข่มขู่ให้ไปจ่ายเงินเข้ามูลนิธิ เรื่องนี้เราไม่รู้เลย อยากให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบว่ามีการบริจาคเงินโดยบริษัทต่างประเทศจริงไหม” กล่าวจบ อำลาไมค์โดยระบุว่า ขอเปิดประเด็นแค่นี้ เปิดเยอะเดี๋ยวถูกเรียก (ฮา)

เข้าประเด็นเรื่องเงินๆ ทองๆ กันแล้ว อย่าให้ขาดตอน ผายมือไปยัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยิงหมัดตรง โดยระบุว่า สิ่งที่ ส.ส. และ ส.ว.ควรพิจารณาก่อนสิ่งอื่นใดคือคุณสมบัติของคนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะบริหารประเทศมา 5 ปี เกิดเครื่องหมายคำถามหลายจุด หนึ่งในนั้นคือการทุจริตเชิงนโยบายซึ่งในอดีตเคยเกิดมาแล้วในรัฐบาลทักษิณที่ออกกฎหมายเอื้อธุรกิจตัวเอง แต่ก็ยังเป็นเป้าแคบๆ คือธุรกิจครอบครัว อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลคือ คสช.จะเป็นการยกระดับ กล่าวคือ คสช.ไม่เคยเป็นนักธุรกิจเลยใช้วิธีเปิดให้ เช่าประเทศ ใครจะใช้สมบัติชาติไปทำธุรกิจก็เชิญมาเสนอ แล้วมีการตอบสนอง ถ้าเป็นเช่นนี้ จะเป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่ไม่มีวันสิ้นสุด

อุณหภูมิความพีคไต่ขึ้นทุกขณะ กระทั่งมาถึง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ซึ่งเพิ่งไปมอบพระเครื่องให้ “จ่านิว” ไว้ป้องกันภยันตรายไปหมาดๆ เริ่มด้วยการปล่อยมุขเรียกเสียงฮาว่า วันนี้ตนพยายามร้อยเรียงคำพูดมาให้ดี เพื่อไม่ให้โดนจับเข้าคุกรอบที่ 5 ก่อนระบุว่า นับแต่เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ได้มาโรงแรมรัตนโกสินทร์หลายครั้ง แต่ขนลุกเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปี เพราะชวนให้นึกถึงเหตุการณ์
ปี 34-35 เพราะมีบรรยากาศใกล้เคียงกัน

“ไม่ว่าจะนั่ง นอน หรือตีลังกาโหวต พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้เป็นนายกฯ เพราะรัฐธรรมนูญออกแบบมาแล้ว แต่ถึงบิ๊กตู่จะเป็นนายกฯได้ ก็อยู่ไม่ได้ หวังว่าจะอยู่ได้นานกว่า พล.อ.สุจินดา คราประยูร คือ 47 วัน สภาในวันที่ไม่มี ม.44 บิ๊กตู่จะเท่ากับ ส.ส.คนอื่น ลุกขึ้นก็ถูกลุกสวน กรณีเสียงปริ่มน้ำต้องซื้องูเห่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่เลือกตั้งแล้วเห่าทันที แต่พวกนี้จะไม่มีถนนเดิน กลับบ้านลำบาก แต่สิ่งที่ใครไม่คาดคิดคือปี 35 เศรษฐกิจเราไม่พัง มีคนบริจาคตังค์ให้ผมทีละเข่งใหญ่ๆ จนต้องบอกว่าพอแล้ว แต่เศรษฐกิจตอนนี้ อย่าว่าแต่เข่งใหญ่เลย แค่เข่งปลาทูยังลำบาก คนหวังว่าเลือกตั้งแล้วจะได้คนที่เป็นมืออาชีพ แต่คิดผิด เพราะรัฐธรรมนูญล็อกซ้ายขวา มีการออกแบบให้แก้ไขไม่ได้ แม้เขียนว่าแก้ได้ ไทยกำลังจะได้บทเรียนสำคัญ”

ตู่ จตุพร ปิดท้ายว่า อย่างไรก็ตาม อย่าให้ถึงมือประชาชน ขอให้จบที่สภา พรรคการเมืองแต่ละพรรค ขอให้จำคำพูดตัวเอง อย่าไปแสวงหาลาภที่ไม่ควรได้ พล.อ.สุจินดาโกหกครั้งเดียว คนไทยไม่ให้อภัยอีกเลย วันนี้ถ้าพรรคการเมืองตระบัดสัตย์ ประชาชนจะอยู่อย่างไร

“อย่าเอาความอยากของตัวเองมาอ้างว่าต้องการให้ประเทศเดินหน้า นักการเมืองสามารถหยุดการสืบทอดอำนาจได้ ถ้าไม่ทรยศประชาชน หากเคยเป็นพรรคเทพ ถ้าทรยศประชาชนจะกลายเป็นมารไปจนนิจนิรันดร์”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image